|
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ทักษะการเหยียบกระเดื่อง
เครื่งดนตรีประเภทเป่าลมไม้
ฟลูต[1] (อังกฤษ: flute) เป็นเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องเป่าลมไม้ ซึ่งแตกต่างจากเครื่องเป่าลมประเภทอื่น ๆ ที่กำเนิดเสียงจาดการสั่นสะเทือนของลิ้น ฟลูต กำเนิดเสียงจากการผิวของลม ลักษณะเสียงของฟลูตจะมีความไพเราะ นุ่มนวล อ่อนหวาน
ประเภทของฟลูต มีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา, โดยพื้นฐานแล้วฟลูตก็คือ ท่อปลายเปิดที่ถูกเป่าให้มีเสียง (เหมือนการเป่าขวด) เมื่อมีความต้องการการเครื่องดนตรีที่มีความสามารถมากขึ้น ได้ทำให้เกิดการพัฒนาจนเกิด ฟลูตตะวันตก ซึ่งมีกลุ่มของแป้นกดที่มีความซับซ้อน
ฟลูตถูกแบ่งเป็นหลายประเภท โดยส่วนใหญ่ผู้เล่นจะเป่าไปที่ขอบของฟลูตเพื่อให้เกิดเสียง อย่างไรก็ตาม ฟลูตบางประเภทอย่างเช่น ขลุ่ย, นกหวีด จะมีท่อนำลมไปยังขอบ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการเล่น แต่จะทำให้ไม่สามารถควบคุมลักษณะของเสียงได้เช่นเดียวกับการผิว โดยปรกติแล้ว ขลุ่ยจะไม่ถูกเรียกว่าฟลูต ถึงแม้ว่ากายภาพ วิธีการ และเสียง จะคล้ายกับฟลูตก็ตาม
การแบ่งประเภทอีกแบบหนึ่งก็การแบ่งระหว่าง การเป่าด้านข้าง (Transverse) และการเป่าจากส่วนบน
กลุ่มหลัก ๆ ของฟลุตประกอบไปด้วย ปิคโคโล คอนเสิร์ทฟลุต อัลโตฟลุต เบสฟลุต คอนทราเบสฟลุต ซึ่งแต่ละชนิดจะมีช่วงของเสียงแตกต่างกัน ปิคโคโลจะมีเสียงสูงกว่าฟลูต ไป 1 คู่แปด แต่การเขียนโน้ตจะเขียนเช่นเดียวกับคอนเสิร์ตฟลูต อัลโตฟลูตจะให้เสียง G (โซ) ซึ่งต่ำกว่า C (โด) กลาง เสียงสูงที่สุดที่อัลโตฟลูตจะเล่นได้คือ G (โซสูง) อยู่บนเสี้นที่ 4 เหนือบรรทัด 5 เส้น เบสฟลูตจะให้เสียงต่ำกว่าคอนเสิร์ตฟลูตอยู่ 1 คู่แปด เป็นฟลูตที่ไม่ค่อยถูกนำมาเล่น มีทั้ง ฟลูตเสียงสูง ที่ให้เสียง G (โซ) ที่ให้เสียงสูงกว่า อัลโตฟลูตอยู่ 1 คู่แปด, โซปราโนฟลูต, เทเนอร์ฟลูต ฯลฯ โดยฟลูตที่มีขนาดแตกต่างจาก ฟลูต และ ปิคโคโล บางครั้งจะถูกเรียกว่า ฮาร์โมนีฟลูต
แซกโซโฟน (อังกฤษ: saxophone) เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลเครื่องลมไม้ ใช้ลิ้นเดี่ยวเหมือนของคลาริเนต แม้ว่าตัวเครื่องมักจะทำด้วยโลหะแต่สุ้มเสียงก็กระเดียดมาทางเครื่องลมไม้ แซกโซโฟนจึงได้รับฉายาว่า “คลาริเนตทองเหลือง” (brass clarinet)[ต้องการอ้างอิง]
แบร์ลิออซได้กล่าวว่าเสียงของแซกโซโฟนคือการผสมผสานเข้าด้วยกันระหว่าง ซอเชลโล ปี่คอร์อังแกลส์และปี่คลาริเนท แซกโซโฟนจะเล่นกระซิบกระซาบ อ่อนหวานนุ่มนวล หรือจะแผดให้แสบโสตประสาทก็ทำได้ จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว
ตระกูลแซกโซโฟนเป็นตระกูลใหญ่เช่นเดียวกับคลาริเนท แซกโซโฟนมีขนาดต่าง ๆ ถึง 7 ขนาดด้วยกัน แต่นิยมใช้ในปัจจุบันมี 4 ชนิดด้วยกัน หลากหลายชนิดของแซกโซโฟน ได้กล่าวเกี่ยวกับชนิดของแซกโซโฟนไว้ว่าแซกโซโฟนในปัจจุบันประกอบด้วยแซกโซ โฟนโซปราโน, แซกโซโฟนอัลโต้, แซกโซโฟนเทเนอร์และบาริโทนแซกโซโฟนในบรรดา 4 ชนิดที่กล่าวมานี้ แซกโซโฟนโซปราโนเป็นแซกโซโฟนที่มีเสียงความถี่เสียงสูงที่สุด ตามด้วยแซกโซโฟนอัลโต้ แซกโซโฟนเทเนอร์และสุดท้ายที่ต่ำคือบาริโทนแซกโซโฟน
คลาริเน็ต เป็นเครื่องดนตรีจำพวกเครื่องเป่าลมไม้(woodwind instruments) ที่พัฒนามาจากเครื่องดนตรีในสมัยกลางเรียกว่า chalumeau คลาริเน็ตเป็นเครื่องดนตรีที่มักทำจากไม้หรือพลาสติก ทำให้เกิดเสียงโดยใช้ลิ้นเดี่ยว (single reed) ซึ่งรัดติดกับปากเป่าเช่นเดียวกับแซกโซโฟน. ช่วงเสียงคลาริเน็ต (Bb) เริ่มตั้งแต่ D (เขียนว่า E แต่เล่นแล้วออกเสียง D เนื่องจากเป็นคลาริเน็ตบีแฟลต มีเสียงต่ำกว่าที่เขียนไว้ 1 tone) เรื่อยขึ้นไปประมาณ 3 ½ คู่แปด
นอกจากบีแฟลตคลาริเน็ต (โซปราโน) ที่ใช้กันทั่วไปแล้ว ยังมีคลาริเน็ตชนิดอื่นอีก เช่น
ปิคโคโล (อังกฤษ: Piccolo) เป็นเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องเป่าลมไม้ มีลักษณะคล้ายฟลุทแต่ มีขนาดเล็กกว่า และมีเสียงสูงกว่า 1 ออคเทฟ มีขนาดเล็กกว่าฟลุท 4 เท่า จึงทำให้มีคุณภาพเสียงที่สดใสและแหลมมาก เสียงในระดับต่ำของปิคโคโลจะดังไม่ชัดเจน ปิคโคโลจึงเหมาะที่จะใช้ในการเล่นในระดับเสียงกลางและเสียงสูงมากกว่าใน ระดับเสียงต่ำ ปิคโคโลในวงออร์เคสตรา คือในศตวรรษที่ 18 ด้วยสุ้มเสียงที่แหลมสูงของปิคโคโลนี้เองทำให้เราสามารถ ที่จะได้ยินเสียงปิคโคโลได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าเครื่องดนตรีชิ้นอื่นจะบรรเลงอยู่ก็ตาม
รีคอร์เดอร์ (Recorder) เป็นเครื่องดนตรีสากล ประเภทเครื่องเป่าลมไม้ รีคอร์เดอร์สร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 14 ถือกำเนิดในประเทศอังกฤษ นิยมเล่นในสมัยยุคกลาง และมีความเจริญสูงสุดในยุคบาโรค เป็นเครื่องเป่าที่มีลักษณะการเป่าแบบด้านตรง มีรูปแบบการเกิดเสียงแบบเดียวกันกับนกหวีด คือ บริเวณปากเป่านั้นจะทำเป็นช่องลม (Win Way) เพื่อที่จะพุ่งเข้าไปกระทบกับปากนกแก้ว ทำให้อากาศเกิดการสั่นสะเทือน เกิดเป็นคลื่นเสียงภายในท่อ เกิดเป็นระดับเสียงต่างๆ ท่อของรีคอร์เดอร์มีรูปทรงกรวย คือ จากส่วนปลายของปากเป่าลงมายังส่วนปลายท่อจะค่อยๆ สอบลง และแคบสุดบริเวณปลายของรีคอร์เดอร์ ในปัจจุบันรีคอร์เดอร์เป็นเครื่องดนตรีสำหรับหัดเรียนดนตรีขั้นเบื้องต้น โดยเฉพาะในระดับประถมศึกษา
รีคอร์เดอมีทั้งหมด 10 ประเภท แต่ที่นิยมในปัจจุบันมี 6 ประเภทเท่านั้น ได้แก่
ประเภทของฟลูต มีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา, โดยพื้นฐานแล้วฟลูตก็คือ ท่อปลายเปิดที่ถูกเป่าให้มีเสียง (เหมือนการเป่าขวด) เมื่อมีความต้องการการเครื่องดนตรีที่มีความสามารถมากขึ้น ได้ทำให้เกิดการพัฒนาจนเกิด ฟลูตตะวันตก ซึ่งมีกลุ่มของแป้นกดที่มีความซับซ้อน
ฟลูตถูกแบ่งเป็นหลายประเภท โดยส่วนใหญ่ผู้เล่นจะเป่าไปที่ขอบของฟลูตเพื่อให้เกิดเสียง อย่างไรก็ตาม ฟลูตบางประเภทอย่างเช่น ขลุ่ย, นกหวีด จะมีท่อนำลมไปยังขอบ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการเล่น แต่จะทำให้ไม่สามารถควบคุมลักษณะของเสียงได้เช่นเดียวกับการผิว โดยปรกติแล้ว ขลุ่ยจะไม่ถูกเรียกว่าฟลูต ถึงแม้ว่ากายภาพ วิธีการ และเสียง จะคล้ายกับฟลูตก็ตาม
การแบ่งประเภทอีกแบบหนึ่งก็การแบ่งระหว่าง การเป่าด้านข้าง (Transverse) และการเป่าจากส่วนบน
กลุ่มหลัก ๆ ของฟลุตประกอบไปด้วย ปิคโคโล คอนเสิร์ทฟลุต อัลโตฟลุต เบสฟลุต คอนทราเบสฟลุต ซึ่งแต่ละชนิดจะมีช่วงของเสียงแตกต่างกัน ปิคโคโลจะมีเสียงสูงกว่าฟลูต ไป 1 คู่แปด แต่การเขียนโน้ตจะเขียนเช่นเดียวกับคอนเสิร์ตฟลูต อัลโตฟลูตจะให้เสียง G (โซ) ซึ่งต่ำกว่า C (โด) กลาง เสียงสูงที่สุดที่อัลโตฟลูตจะเล่นได้คือ G (โซสูง) อยู่บนเสี้นที่ 4 เหนือบรรทัด 5 เส้น เบสฟลูตจะให้เสียงต่ำกว่าคอนเสิร์ตฟลูตอยู่ 1 คู่แปด เป็นฟลูตที่ไม่ค่อยถูกนำมาเล่น มีทั้ง ฟลูตเสียงสูง ที่ให้เสียง G (โซ) ที่ให้เสียงสูงกว่า อัลโตฟลูตอยู่ 1 คู่แปด, โซปราโนฟลูต, เทเนอร์ฟลูต ฯลฯ โดยฟลูตที่มีขนาดแตกต่างจาก ฟลูต และ ปิคโคโล บางครั้งจะถูกเรียกว่า ฮาร์โมนีฟลูต
แซกโซโฟน (อังกฤษ: saxophone) เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลเครื่องลมไม้ ใช้ลิ้นเดี่ยวเหมือนของคลาริเนต แม้ว่าตัวเครื่องมักจะทำด้วยโลหะแต่สุ้มเสียงก็กระเดียดมาทางเครื่องลมไม้ แซกโซโฟนจึงได้รับฉายาว่า “คลาริเนตทองเหลือง” (brass clarinet)[ต้องการอ้างอิง]
แบร์ลิออซได้กล่าวว่าเสียงของแซกโซโฟนคือการผสมผสานเข้าด้วยกันระหว่าง ซอเชลโล ปี่คอร์อังแกลส์และปี่คลาริเนท แซกโซโฟนจะเล่นกระซิบกระซาบ อ่อนหวานนุ่มนวล หรือจะแผดให้แสบโสตประสาทก็ทำได้ จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว
ตระกูลแซกโซโฟนเป็นตระกูลใหญ่เช่นเดียวกับคลาริเนท แซกโซโฟนมีขนาดต่าง ๆ ถึง 7 ขนาดด้วยกัน แต่นิยมใช้ในปัจจุบันมี 4 ชนิดด้วยกัน หลากหลายชนิดของแซกโซโฟน ได้กล่าวเกี่ยวกับชนิดของแซกโซโฟนไว้ว่าแซกโซโฟนในปัจจุบันประกอบด้วยแซกโซ โฟนโซปราโน, แซกโซโฟนอัลโต้, แซกโซโฟนเทเนอร์และบาริโทนแซกโซโฟนในบรรดา 4 ชนิดที่กล่าวมานี้ แซกโซโฟนโซปราโนเป็นแซกโซโฟนที่มีเสียงความถี่เสียงสูงที่สุด ตามด้วยแซกโซโฟนอัลโต้ แซกโซโฟนเทเนอร์และสุดท้ายที่ต่ำคือบาริโทนแซกโซโฟน
- โซปราโนแซกโซโฟน (Soprano Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบาและมีความถี่ยังไม่สูงที่สุด มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาจึงสามารถถือไว้ในมือได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องใช้สาย สะพายแซกโซโฟนก็ได้ โซปราโนแซกโซโฟนไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการหัดเล่นแซกโซโฟนใหม่ๆ เนื่องจากมีความยากในการคุมเสียงมากกว่าแซกโซโฟนอัลโต้และเทเนอร์ ถือเป็นเครื่องที่ใช้แทนใวโอลินในช่วงโพสิชั่นที่หนึ่ง(1st)ในวงประเภท เครื่องเป่า ระดับเสียง Bb เท่ากับเครื่องดนตรีคลาริเน็ตและทรัมเป็ต ในปัจจุบันแซกโซโฟนโซปราโนจะมีรูปทรงให้เลือก 2 แบบ คือแบบตรง และแบบโค้งก็จะมีลักษณะเหมือกับแซกโซโฟนอัลโต้แต่มีขนาดเล็กกว่า
- อัลโต้แซกโซโฟน (Alto Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่ข้อนข้างเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากเป็นแซกโซโฟนที่เป่าง่ายกว่าโซปราแซกโซโฟนและมีน้ำหนักเบากว่าแซก โซโฟนเทเนอร์แซกโซโฟนอัลโต้สามารถเป่าได้ในดนตรีหลาย ๆ สไตล์ไม่ว่าจะเป็นสไตล์คลาสสิก, ป็อป, แจ็ส แต่นักดนตรีคลาสสิกจะนิยมใช้แซกอัลโต้ในการเล่นมากกว่าการใช้แซกโซโฟนชนิด อื่น ๆ รวมถึงการเล่นดนตรีแบบแตรวง, คอนเสิร์ตหรือมาร์ชชิ่งแบรนด์ก็เช่นกัน ถือเป็นเครื่องที่ใช้แทนใวโอลิน-วิโอล่าในวงประเภทเครื่องเป่า แซกโซโฟนอัลโต้จึงเป็นแซกโซโฟนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเอเชีย
- เทเนอร์แซกโซโฟน (Tenor Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่ถูกใช้มากในการเล่นดนตรีแนวแจ็ส แต่ก็สามารถเห็นแซกโซโฟนเทเนอร์ได้ในการเล่นดนตรีแบบอื่น ๆ เสียงของแซกเทเนอร์จะมีลักษณะแบบนุ่ม ๆ อ้วน ๆ ระดับเสียงBb และต่ำกว่าแซกโซโฟนอัลโต้และแซกโซโฟนโซปราโน รองจากแซกโซโฟนอัลโต้ (โทนเสียงที่เล่นได้จะอยู่ในโทนอัลโต้-เทนเนอร์) ถือเป็นเครื่องที่ใช้แทนวิโอล่าในวงประเภทเครื่องเป่า แล้วแซกโซโฟนเทเนอร์ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่มือใหม่ควรจะใช้ในการเริ่มต้น
- บาริโทนแซกโซโฟน (Baritone Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่มีขนาดใหญ่และมีความถี่เสียงต่ำ แต่ยังสามารถที่จะบรรเลงเดื่ยวได้เพราะโทนเสียงอยู่ในช่วงโทนเทนเนอร์-เบส ถือเป็นเครื่องที่ใช้แทนเชลโล่ในวงประเภทเครื่องเป่า และมีราคาข้อนข้างแพง และมีน้ำหนัก ดังนั้นบาริโทนแซกโซโฟนจึงไม่เหมาะแก่นักแซกโซโฟนมือใหม่ทั้งหลาย ความยาวท่อของบาริโทนแซกโซโฟนจะอยู่ประมาณ 7 ฟุต
- เบสแซกโซโฟน (Bass Saxophone) ระดับเสียงBb เป็นแซกโซโฟนที่มีขนาดข้อนข้างใหญ่ มีเสียงต่ำกว่าเทนเนอร์แซกฯ 1ช่วงคู่แปด และ ต่ำกว่าบาริโทนแซกฯเป็นคู่ 4 สมบูรณ์ เล่นโทน เบส เป็นหลัก ถือเป็นเครื่องที่ใช้แทนเสียงคอนทร่าเบสในวงประเภทเครื่องเป่า
- คอนทร่าเบส แซกโซโฟน (Contrabass Saxophone) (Eb) เป็นเครื่องที่มีขนาดเกือบที่จะใหญ่ที่สุด มีความยาวเป็นสองเท่าของบาริโทนแซกฯ มีความสูงของเครื่องมากกว่าคนเล็กน้อย มีช่วงเสียงต่ำกว่าบาริโทนแซกฯ 1 ช่วงคู่แปด เป็นเครื่องดนตรีที่พบเห็นได้ยาก แต่ยังคงมีการผลิตอยู่ไม่มาก เสียงจะเป็นลักษณะ Buzzy มากกว่าจะบอกได้ว่าเล่นโน้ตตัวอะไรเพราะความใหญ่ของตัวเครื่องต่อปากเป่า
คลาริเน็ต เป็นเครื่องดนตรีจำพวกเครื่องเป่าลมไม้(woodwind instruments) ที่พัฒนามาจากเครื่องดนตรีในสมัยกลางเรียกว่า chalumeau คลาริเน็ตเป็นเครื่องดนตรีที่มักทำจากไม้หรือพลาสติก ทำให้เกิดเสียงโดยใช้ลิ้นเดี่ยว (single reed) ซึ่งรัดติดกับปากเป่าเช่นเดียวกับแซกโซโฟน. ช่วงเสียงคลาริเน็ต (Bb) เริ่มตั้งแต่ D (เขียนว่า E แต่เล่นแล้วออกเสียง D เนื่องจากเป็นคลาริเน็ตบีแฟลต มีเสียงต่ำกว่าที่เขียนไว้ 1 tone) เรื่อยขึ้นไปประมาณ 3 ½ คู่แปด
นอกจากบีแฟลตคลาริเน็ต (โซปราโน) ที่ใช้กันทั่วไปแล้ว ยังมีคลาริเน็ตชนิดอื่นอีก เช่น
- เบสคลาริเน็ต ใช้ระบบการวางนิ้วชุดเดียวกับคลาริเน็ตบีแฟลตทุกอย่าง แต่เวลาเล่นจะมีเสียงต่ำกว่าบีแฟลตคลาริเน็ตอยู่ 1 คู่แปด เหมาะที่จะนำไปใช้บรรเลงแนวทำนองในระดับเสียงต่ำ ลักษณะเด่นของเบสคลาริเน็ตอยู่ที่ข้อต่อ กำพวดจะเป็นรูปโค้งงอ ปากลำโพงทำด้วยโลหะ งอย้อนขึ้นมาคล้ายกับแซกโซโฟน
- อัลโตคลาริเน็ต ขนาดใหญ่และยาวกว่าคลาริเน็ตอื่นๆ ระดับเสียงต่ำกว่าบีแฟล็ตคลาริเน็ตอยู่คู่ 5 เพอร์เฟกต์ ปากลำโพงทำด้วยโลหะ โค้งงอย้อนขึ้นเหมือนแซกโซโฟน
- อีแฟลตคลาริเน็ต (โซปรานิโน) มีขนาดเล็กกว่าบีแฟลตคลาริเน็ต และมีระดับเสียงสูงกว่าบีแฟลตคลาริเน็ตคู่ 5 เพอร์เฟค
ปิคโคโล (อังกฤษ: Piccolo) เป็นเครื่องดนตรีสากลประเภทเครื่องเป่าลมไม้ มีลักษณะคล้ายฟลุทแต่ มีขนาดเล็กกว่า และมีเสียงสูงกว่า 1 ออคเทฟ มีขนาดเล็กกว่าฟลุท 4 เท่า จึงทำให้มีคุณภาพเสียงที่สดใสและแหลมมาก เสียงในระดับต่ำของปิคโคโลจะดังไม่ชัดเจน ปิคโคโลจึงเหมาะที่จะใช้ในการเล่นในระดับเสียงกลางและเสียงสูงมากกว่าใน ระดับเสียงต่ำ ปิคโคโลในวงออร์เคสตรา คือในศตวรรษที่ 18 ด้วยสุ้มเสียงที่แหลมสูงของปิคโคโลนี้เองทำให้เราสามารถ ที่จะได้ยินเสียงปิคโคโลได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าเครื่องดนตรีชิ้นอื่นจะบรรเลงอยู่ก็ตาม
รีคอร์เดอร์ (Recorder) เป็นเครื่องดนตรีสากล ประเภทเครื่องเป่าลมไม้ รีคอร์เดอร์สร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 14 ถือกำเนิดในประเทศอังกฤษ นิยมเล่นในสมัยยุคกลาง และมีความเจริญสูงสุดในยุคบาโรค เป็นเครื่องเป่าที่มีลักษณะการเป่าแบบด้านตรง มีรูปแบบการเกิดเสียงแบบเดียวกันกับนกหวีด คือ บริเวณปากเป่านั้นจะทำเป็นช่องลม (Win Way) เพื่อที่จะพุ่งเข้าไปกระทบกับปากนกแก้ว ทำให้อากาศเกิดการสั่นสะเทือน เกิดเป็นคลื่นเสียงภายในท่อ เกิดเป็นระดับเสียงต่างๆ ท่อของรีคอร์เดอร์มีรูปทรงกรวย คือ จากส่วนปลายของปากเป่าลงมายังส่วนปลายท่อจะค่อยๆ สอบลง และแคบสุดบริเวณปลายของรีคอร์เดอร์ ในปัจจุบันรีคอร์เดอร์เป็นเครื่องดนตรีสำหรับหัดเรียนดนตรีขั้นเบื้องต้น โดยเฉพาะในระดับประถมศึกษา
รีคอร์เดอมีทั้งหมด 10 ประเภท แต่ที่นิยมในปัจจุบันมี 6 ประเภทเท่านั้น ได้แก่
- 1.โซปรานิโน (Sopranino) มีขนาดความยาวประมาณ 24 เซนติเมตร มีขนาดเล็ก ลักษณะเสียงสูงแหลมมาก ถ้าใช้นิ้วปิดทั้ง 7 รูจะได้เสียง “ฟา”
- 2.โซปราโน (Soprano) หรือเดสแคนท์ (Descant) มีความยาวประมาณ 31 เซนติเมตร เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมเล่นมากที่สุด ถ้าใช้นิ้วปิดทั้งหมด 7 รูจะได้เสียง Middle C หรือโดกลางเมื่อเทียบกับเสียงเปียโน
- 3.อัลโต (Alto) หรือ เทร็บเบิล (Treble) มีความยาวประมาณ 47 เซนติเมตร
- 4.เทนเนอร์ (Tenor) มีความยาวประมาณ 64 เซนติเมตร
- 5.เบส (Bass) มีความยาวประมาณ 94 เซนติเมตร
- 6.คอนทราเบส (Contra bass)
ทักษะการโซโล่กีต้าร์
:: เทคนิคการเล่นกีต้าร์ ::
การเล่นกีต้าร์โดยทั่วไปนั้นมีอยู่ 2 แบบ คือ
1. เล่นแบบดีดทีละสาย ผู่เล่นจะต้องจำจุดต่างๆ ให้ได้ว่าเป็นเสียงอะไร ในการกดลงไปตามจุดต่างๆ ของคอร์ดกีต้าร์ต้องกดให้แน่นๆนะครับ ถ้ากดไม่แน่นเสียงจะบอด (เสียงไม่กังวาล) การฝึกหัดควรฝึกหัดตามโน็ต ตาไม่ต้องดูนิ้ว ในระยะแรกอาจจะดูบ้างไม่เป็นไรครับ
การดีดทีละสายนี้สามารถทำให้เสียงที่ดีดออกมาแปลกไปจากเดิมได้ เมื่อเวลาที่จะเปลี่ยนไปติดตามโน็ตอีกตัวนึง คือ "การเล่นแบบรูดนิ้ว" การเล่นแบบรูดนิ้วนั้น ผู้เล่นจะต้องกดจุดแรกให้แน่นก่อนแล้วรูดนิ้วจากจุดแรกที่กดอยู่ไปยังจุดที่เกิดเป็นเสียงตามต้องการ (รูดสายเดิม) เช่น จาก โดในสายที่ 4 รูดนิ้วไปยังฟาในสายเดียวกัน การเล่นแบบนี้ผู่เล่นจะต้องจำให้ได้ว่าสายนั้นตามช่องต่างๆ มีเสียงอะไรบ้าง การเล่นแบบรูดนิ้วทำให้เกิดความไพเราะขึ้นกว่าการเปลี่ยนจุดตามธรรมดา ถ้าต้องการให้เสียงสั่นพริ้ว เมื่อดีดแล้วต้องเขย่าตัวกีต้าร์
การดีดทีละสายนี้สามารถทำให้เสียงที่ดีดออกมาแปลกไปจากเดิมได้ เมื่อเวลาที่จะเปลี่ยนไปติดตามโน็ตอีกตัวนึง คือ "การเล่นแบบรูดนิ้ว" การเล่นแบบรูดนิ้วนั้น ผู้เล่นจะต้องกดจุดแรกให้แน่นก่อนแล้วรูดนิ้วจากจุดแรกที่กดอยู่ไปยังจุดที่เกิดเป็นเสียงตามต้องการ (รูดสายเดิม) เช่น จาก โดในสายที่ 4 รูดนิ้วไปยังฟาในสายเดียวกัน การเล่นแบบนี้ผู่เล่นจะต้องจำให้ได้ว่าสายนั้นตามช่องต่างๆ มีเสียงอะไรบ้าง การเล่นแบบรูดนิ้วทำให้เกิดความไพเราะขึ้นกว่าการเปลี่ยนจุดตามธรรมดา ถ้าต้องการให้เสียงสั่นพริ้ว เมื่อดีดแล้วต้องเขย่าตัวกีต้าร์
2. เล่นแบบดีดหลายสายพร้อมกัน วิธีนี้ คือ การดีดเป็นคอร์ดนั่นเอง การฝึกหัดดีดเป็นคอร์ดครั้งแรกควรจะดีดช้าๆ ก่อน เมื่อกดจุดต่างๆ ที่จะทำให้เกิดกลุ่มเสียงแล้วดีดไล่ลงไปทีละเส้น วิธีนี้เรียกว่า Broken Chord การเล่นแบบนี้จะทำให้ผู้เล่นรู้ว่าเสียงใดบอดบ้างในการเปลี่ยนคอร์ดหนึ่งไปยังอีกคอร์ดหนึ่ง นิยมเปลี่ยนโดยการเลื่อนนิ้วเพราะจะทำให้เสียงไม่ขาดหายไป แต่มีการเปลี่ยนคอร์ดบางคอร์ดต้องยกนิ้วออกจากจุดเดิมทั้งหมด เพราะคอร์ดที่ต้องการอยู่ไกลจากตำแหน่งของคอร์ดเดิมมาก
ทักษะการเล่นเบส
สวัสดีครับ มาติดตามกันต่อกับบทความเพื่อ ฝึกเริ่มเล่นเบส คราวที่แล้ว ได้ พูด ถึง ตัวโน๊ต โด เร มี ฟา ซอล ...กันไปแล้ว ส่วน ความยาวตัวโน๊ตก็พูดถึง ตัวกลม ตัว ขาว และ ตัว ดำ บทความนี้จะขอพูดถึงเกี่ยวกับตัวโน๊ตอื่นๆ นอกเหนือจาก 7 ตัวนี้ จนครบ 12 ตัว แต่ยังจะเล่นเป็นตัวอย่างโดยใช้ ตัวกลม ตัวขาว ตัวดำครับ และจะพูด ถึง ความหมายของคีย์ สเกล และคอร์ดเบื้องต้น ลองติดตามกันดู
ในดนตรีสากล เครื่องดนตรี ส่วนใหญ่สามารถ จะเล่น โน๊ตได้ มากกว่า 7 ตัว มีเครื่องดนตรีหลายชิ้นที่สามารถ เล่นโน๊ต ได้ ครบ ทั้ง 12 ตัวโน๊ต ทำให้สามารถเล่นได้ทุกคีย์ (คำว่าคีย์จะอธิบายอีกที)
เปรียบเทียบกับ เครื่องดนตรี ไทยก็ได้ครับ ส่วนใหญ่ เครื่องดนตรีไทย มีโน๊ต ไม่ครบ 12 ตัว ทำให้ เล่นเพลงสากลไม่ได้ ต้องปรับ เพลงในบางส่วน ถ้า เพื่อมาเล่นกะดนตรีสากลครับ แต่ก็เคยได้ยินว่า "แคน"เครื่องดนตรีภาคอีสานของเรา สามารถ เล่นโน๊ตได้ครบ 12 ตัวครับ ในส่วนของเบสกีตาร์ สามารถ เล่น ตัวโน๊ตได้ทุกตัวครับโน๊ตทั้ง 12 ตัว ครับ ตัวโน๊ตก็มีดังนี้ คือ
1. C โด
2. C# , Db โด ชาร์ป หรือ เร แฟร็ต
3. D เร
4. D# ,Eb เรชาร์ป หรือ มี แฟร็ต
5. E มี
6. F ฟา
7. F# , Gb ฟา ชาร์ป หรือ ซอล แฟร็ต
8. G ซอล
9. G# , Ab ซอล ชาร์ป หรือ ลา แฟร็ต
10. A ลา
11. A# ,Bb ลาชาร์ป หรือ ที แฟร็ต
12. B ที
โน๊ตทั้งหมดจะ วางอยู่บนเฟร็ต หรือฟิงเกอร์บอร์ด ตามรูปด้านล่างนี้ ส่วน จากเฟร็ต 12 เป็นต้นไปก็เรียงโน๊ตไปเหมือนกัน (มองเฟร็ต 13 เท่ากับเฟร็ต1 เฟร็ต 14 เท่ากับ เฟร็ต 2 ไปเรื่อยๆ จนถึง เฟร็ต 24 เท่ากับเฟร็ต 12 นะเอง ครับ)
เครื่องหมายที่ตามหลังตัวโน๊ตมาหรือ (Accidental) เครื่องหมาย # ให้อ่านว่าชาร์ป หมายถึง เล่นโน๊ตตัวนั้น แต่ สูง ขึ้น ครึ่งเสียง (1เฟร็ต)
เครื่องหมาย b ให้อ่านว่า แฟร็ต หมายถึงเล่นโน๊ตตัวนั้น แต่ต่ำว่า ครึ่ง เสียง (1 เฟร็ต)
Tips ให้มองว่าโลกนี้ มี โน้ตด้วยกัน 12 ตัวครับ จะได้เข้าใจง่ายๆ ครับ ไม่ใช่ 7
โน๊ตทั้ง 12 ตัว พอเรียงกัน ก็เรียกว่า บันไดเสียง (Scale) โครมาติค ส่วนตัว ผม จะมองว่า Scale นี้ มันเป็น พื้นฐาน ให้ Scale อื่น ๆ คือรวมโน๊ตทุกตัวมากกว่าครับ เป็นเหมือนตารางที่ห่างเท่าๆกัน ทุกครึ่งเสียง ไม่ได้ให้ความรู้สึกอะไร
Tips ข้อสังเกต คือ โลกนี้จะไม่มีใครพูดตัวโน๊ตที่ว่า E# หรือ Fb , B# หรือ Cb มีแต่พูดตอนเรียนทฤษฎี(ลึก)เท่านั้น โลกความเป็นจริงไม่มีโน๊ตเหล่านี้ เพราะ E# มันคือ F ,Fb มันคือ E, B#มันคือC , CbมันคือB
ต่อไป มาพูดถึง คำว่าคีย์กันครับ
คีย์ Key ก็หมายถึง กลุ่มตัวโน๊ต ที่ถูกนำใช้ โดยมากในเพลงนั้นๆ ถ้าบอกว่าเพลงนี้คีย์ C กลุ่มตัวโน๊ตที่เอามาเล่นในเพลงก็อยู่ ใน 7 ตัว ก็คืออยู่บน C Major Scale มีโน๊ตคือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที และคอร์ด ที่เล่นก็จะสัมพันธ์กันกะสเกลนี้ หรือ ก็คือ เอามาจากโน๊ต 7 ตัวใน คีย์นั่นเอง ที่ใช้คำว่าโดยมาก เพราะ เพลง ๆนึงไม่ได้กำหนดว่าต้องใช้โน๊ตแค่ 7ตัวเท่านั้น ยังสามารถ เพิ่ม คีย์ เปลี่ยนคีย์ เอาคอร์ดส่งอื่น ๆมาใช้ เกิด ตัวโน๊ตใหม่ๆ เข้ามาในคีย์ บางคนโซโล่โดยใช้โหมดซึ่งจะได้โทนใหม่ ซึ่งแน่นอน มีโน๊ตเข้ามามากขึ้น สรุปว่า อย่ายึดติดครับ
--------จงทำความเข้าใจคำว่า คีย์ และ Scale ให้ดี มันเกี่ยวข้องกับโน๊ต 7 ตัวเดียวกันแต่ในคนละลักษณะอ่ะครับ--------------
แต่มีข้อสังเกตคือ 1 เพลง ไม่จำเป็น ต้องเล่นโน๊ต แต่ในคีย์นั้นก็ได้ จะเล่น โน๊ตแค่ 5 ตัวใน คีย์ก็ได้ หรือจะดึงตัวโน๊ตนอกคีย์มาเล่นก็ได้ จะ เปลี่ยน คีย์ไปมาก็ยังได้ ครับ ไม่ได้บังคับครับ บางคนบอกเพลงของผมไปซ้ำกะคนอื่น เพราะ โน๊ตมันมีแค่ 7 ตัว ให้ทำไง ผมว่า คนพูดงี้มันไม่ได้เรื่องอ่ะครับ
คงเข้าใจคำว่าคีย์แล้วนะ ต่อไป มาดูโน๊ตใน คีย์ ทั้ง หมดกัน
คีย์ C มีโน๊ต C D E F G A B C
คีย์ D มีโน๊ต D E F# G A B C# D
คีย์ E มีโน๊ต E F# G# A B C# D# E
.... อ๊ะ! ไม่บอกหรอก บอกไปคุณก็จำไม่ได้
ไม่ต้องจำตอนนี้ครับ แต่ให้ทำตามวิธีนี้้ ครับ
การหาตัวโน๊ตในคีย์ หรือ Scale แล้วก็ให้ไล่ดีด ตามฟอร์มนิ้วเดิมครับ แต่เปลี่ยน Root ไป คีย์ที่ต้องการครับ ก็จะเฉลยโน๊ตที่ เราต้องการออกมา
เช่นผมจะไล่ Scale Major โดยวางนิ้ว ฟอร์มตามนี้ 2 4 - 1 2 4 - 1 3 4 เหมือนตัวอย่างคราวที่แล้วนะ
1 คือ นิ้วชี้(ซ้าย)
2 คือ นิ้วกลาง
3 คือ นิ้วนาง
4 คือ นิ้วก้อย
- ขีดคือ เปลี่ยนสายนะ ดูตามวีดีโอครับ
http://www.youtube.com/watch?v=PYuteSRPc10
จำไปเลยนะ 2 4 1 2 4 1 3 4 เป็น พื้นฐาน ให้เล่นจนแก่เลย กลาง ก้อย - ชี้ กลาง ก้อย - ชี้ นาง ก้อย เข้าใจแล้วนะ
ต่อไปจะอธิบายคำว่าราก หรือ รูท การเริ่มดีดโน๊ตตัวแรกในสเกลตามวีดีโอก็คือ นิ้ว 2 (นิ้วกลาง) ตัวแรก หรือโน๊ตที่ดีดตัวแรกของสเกล ให้เรียกว่า Root นะ ตัวโน๊ตตัวต่อ ไปที่ได้ ก็ให้เรียกว่า ตัวที่ 2 ตัวที่ 3 ตัวที่ 4 ตัวที่ 5....ไปเรื่อย ๆครับ
R 2 3 4 5 6 7 8
C D E F G A B C
อันนี้ คือ บันไดเสียง C Major
D ก็เป็นตัวที่ 2 ของ C Major
E ก็เป็นตัวที่ 3 ของ C Major
... ไล่ไปเรื่อยๆ
เข้าใจแล้วนะ แล้วก็ลอง อย่างนี้ เลื่อน ไอ้ 2 4 1 2 4 1 3 4 เปลี่ยน Root มันไป ตามท่ต้องการ
http://www.youtube.com/watch?v=Y1CfCRMEB1I
เปลี่ยน ไป D ซิ ก็จะได้ D major ไป E ซิ ก็ได้ E major ไป F (ตามวีดีโอด้านบน) ซิ....แล้วทำเองให้ครบ12 คีย์ 2 4 1 2 4 1 3 4 เหมือนเดิม (เหมือนใส่เสื้อตัวเดิม แต่ เปลี่ยนคนใส่) ก็ จะได้ โน๊ต ใน สเกล Major ของ รูท ๆนั้นทั้ง่หมด พอนิ้วเราไปแล้วก็จะเฉลยตัวโน๊ตในคีย์ออกมาทั้งหมดครับ ถ้าใครยังจำโน๊ตบนเฟร็ตไม่ได้ก็กลับไปดูตารางด้านบน หรือ ทบทวนบทความที่แล้วๆ มานะครับ จากนี้ คุณก็จะเขียน ตัวโน๊ตใน สเกล เมเจอร์ ทั้ง 12 คีย์ออกแล้วนะ นั่งทำเป็นการบ้านดูครับ
เวลาที่เรา เลื่อน Root ไป ข้างหน้า หรือ ข้างหลัง เค้า เรียกศัพท์ ภาษาอังกฤษ ว่า Tranposition หรือ Transpose ทรานสโพส หรือว่า เลื่อนคีย์ นะเอง
อย่างเพลงนี้ เล่นอยู่ในตัวโน๊ตของ Cmajor (คีย์ C) เพื่อน บอก Tranpose ขึ้น ครึ่งเสียง บางคนเรียกว่าเพิ่มคีย์ นั่น หมายความว่า เลื่อน C major ให้ เป็น C# major โน๊ตทั้ง 7 ตัวก็โดนเลื่อน ขึ้น ครึ่งเสียงหมดเลย ทุกตัวเลื่อนหมด ได้กลุ่มตัวโน๊ต ใหม่ แต่สำหรับเบสเราไม่ต้องสนใจก็ได้ เราแค่เลื่อนมือ แล้วเล่นโน๊ตในโครงสร้างที่เหมือนเดิม(หน้าตาเหมือนเดิม) หลับตาเล่น แล้วเล่นเหมือนเดิมก็เท่านั้น (อันนี้เป็นข้อดีของ เครื่องดนตรีแบบ Fret เช่น เบสหรือ กีต้าร์ แต่ถ้าเป็น เปียโน การ Transpose ยากเหมือนกัน เพราะ ต้องรู้ว่ามีโน๊ตไรบ้าง ยกเว้น คีย์บอร์ดไฟฟ้า ที่สามารถใช้ ตัวอิเล็กทรอนิคส์เครื่องเข้ามาจัดการ ทรานสโพสต์ได้)
Tips การ Transpose ลงหรือขึ้น เดี๋ยวนั้น เดี๋ยวนี้เวลาเล่นสด เช่นนักร้องต้องการให้ลดคีย์ หรือไปแจม บลูส์กะเพื่อน หรือว่า เพลงนั้นเพลงนี้ มีการเล่นลดเสียง ส่วนใหญ่ นักดนตรีจะง่อยรับประทาน มึความกลัวมากๆ ซึ่งเป็นเป็นจุดอ่อนมากๆ ครับ มันเป็นเบสิคที่สำคัญครับ น้องๆ ฝึกเข้าไว้นะ จะได้แซงรุ่นพี่ครับ ถ้าในวงบอกเอา คีย์ไหนเราก็เล่นได้ ทั้งเพลง อันนี้ ถือว่ามีความเป็นโปรอย่างมากเลยครับ
แนะนำการฝึก ลอง เปิด หนังสือเพลง ครับ เล่นเพลง เดิมแต่ลองเลื่อนขึ้นหรือ ลงเลยครับ ดูคอร์ด ไปแล้ว คิด ทรานสโพสต์ ทันทีฝึกให้คล่องๆ ครับเพื่อใช้ใน สถานะการณ์จริง อันนี้อย่าคิดว่ายากนะ จงพยายามครับ
สรุป สมมุติ ถ้า นักร้อง ร้องไม่ไหว เสียงสูง จัด เค้า บอก ให้เลื่อนลง ครึ่ง คีย์ซิ ก็หมายถึง ถ้าเพลงนั้นเป็นคีย์ B major เลื่อนลง เสียงนึงเลย ก็ Bbmajor เข้าใจยังขอรับ
หรือ บางเพลง ในเพลงเดียวกัน มีการเปลี่ยน คีย์ ก็มี เป็น เรื่องปกติมาก เลยครับ ดังนั้น หน้าที่ของคุณคือทำความคุ้นเคยกะ คีย์ให้ดีครับ อย่างน้อย ๆคีย์ ที่เค้าเล่นกัน หลัก ๆต้องพอจำให้ได้ว่ามีโน๊ตไรบ้างครับ จะทำให้เรามีพื้นฐานที่ดีครับ
คีย์ หลัก ๆ ที่ต้องฝึกกัน ก็ C G D A E F Bb Eb
การดูว่าเพลงนั้น เพลงนี้ คีย์ไหน ส่วนใหญ่ จะ ดู ว่าคอร์ด แรก คอร์ด อะไร ครับ แต่ ก็อาจจะพลาดได้นะ เราต้องดู กลุ่มตัวโน๊ต หรือ กลุ่มคอร์ด ว่าสัมพันธ์กะคีย์ไหนสุด ถึงจะชัวร์กว่าครับ บางเพลงเอาท่อนอื่นๆ มาขึ้น บางเพลง มีการเปลี่ยน คีย์ การดูแต่เฉพาะ คอร์ดแรก ก็มีโอกาสผิดสูงครับ
ต่อไปจะเริ่มอธิบายคำว่าคอร์ด
คอร์ด คือ กลุ่มตัวโน๊ต 3 ตัว ขึ้นไป มาอยู่ด้วยกัน มาอยู่รวมกัน หรือ ประสานสียงกัน 1 คอร์ด ประกอบขึ้น จาก โน๊ต 3 ตัวขึ้นไป ลักษณะของตัวโน๊ตที่มีรวมกันเป็นคอร์ด จะอยู่ห่างๆ กันครับ ถ้าสมมุติมีตัวโน๊ต เรียงไปตามสเกล ไปเรื่อยๆ (2 Octave) ตามนี้ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 คอร์ด โดยมากจะมี โครงสร้างเป็น 1 3 5 , 1 3 5 7, 1 4 5, (เป็นตัวโน๊ตที่ค่อนข้างห่างกันหน่อย) จะไม่มีคอร์ด แบบ 1 2 3 แน่นอนครับ ตัวโน๊ตมันใกล้กันจนกัดกันครับ (ลองไปกดคีย์บอร์ดดู ว่าเสียงเป็นแบบไหน)
กลุ่มของคอร์ด ให้มองเป็นตามนี้ครับ ให้เริ่มมองตามนี้
คีย์ C major (หรือเรียกคีย์ C เฉยๆ ) มีโน๊ต - C D E F G A B C (ตัวภาษาอังกฤษบรรทัดนี้แทนตัวโน๊ต เดี่ยวๆ)
คอร์ด 3 เสียง หรือ Triad (1คอร์ด มี 3 ตัวโน๊ต) มี คอร์ด ได้แก่ C Dm Em F G Am Bdim C
คอร์ด 4 เสียง หรือ Tetra-ad (1คอร์ด มี 4 ตัวโน๊ต) มีคอร์ดได้แก่ Cmaj7 Dm7 Em7 Fmaj7 G7 Am7 Bm7b5 Cmaj7
ยกตัวอย่างการอ่านชื่อคอร์ด
C อ่านว่าคอร์ด ซี หรือคอร์ด ซีเมเจอร์ แต่ไม่จำเป็นต้องอ่านว่าคอร์ด ซีเมเจอร์ครับ เพราะ รู้กันอยู่แล้วว่าเป็น เมเจอร์ ถ้าไม่ได้พูดอะไรต่อท้าย
Dm อ่านว่า คอร์ด ดี ไมเนอร์ (ห้ามเขียนตัวเอ็มด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ เพราะ ถ้าตัวพิมพ์ใหญ่ จะหมายถึง เมเจอร์)
Bdim ให้อ่านว่า บีดิม หรือ บีดิมมินิช
Em7 ให้อ่านว่า อีไมเนอร์เซเว่น (การเขียนตัวเลขเจ็ด ห้ามมีขีดกลางครับ จำไว้เลยครับ)
Fmaj7 ให้อ่านว่า เอฟเมเจอร์เซเว่น
G7 ให้อ่านว่า จี เซเว่น ชื่อจริงๆ มันคือ โดมิแน้นท์เซเว่น แต่ไม่จำเป็นต้องเรียกครับ
Bm7b5 ให้อ่านว่า บีไมเนอร์เซเว่นแฟร็ตไฟว์
Tips Triad มีโน๊ต 3 ตัว เป็นส่วนหนึ่ง (Subset) ของ Tetra-ad มีโน๊ต 4 ตัว
การบ้าน คือ จากที่เราหา โน๊ต ใน บันไดเสียง เมเจอร์ โน๊ตในคีย์เป็นแล้ว พอหาออกมาได้ 12 คีย์แล้ว ก็มา หัดใส่ สกุลคอร์ด ให้ กับตัวโน๊ตนั้นๆ ก็จะได้ กลุ่มคอร์ด ของทุกคีย์ออกมา
วอย่าง คีย์ C major มีโน๊ต - C D E F G A B C (ตัวภาษาอังกฤษบรรทัดนี้แทนตัวโน๊ต เดี่ยวๆ)
Triad มี คอร์ด ได้แก่ C Dm Em F G Am Bdim C
Tetra-ad มีคอร์ดได้แก่ Cmaj7 Dm7 Em7 Fmaj7 G7 Am7 Bm7b5 Cmaj7
ลองหาคีย์อื่นๆดู ลอง G major มีโน๊ตไรบ้างลองไล่ดิ๊ 24 -124 -134 อ่ะ ได้โน๊ต
G A B C D E F# G (ตัวภาษาอังกฤษบรรทัดนี้แทนโน๊ตเดี่ยวๆ)
ใส่ชื่อคอร์ด (เสื้อ)Triad และTetra-ad เลียนแบบในคีย์ C เหมือนเดิม(ตัวเดิม)
ก็ได้
G Am Bm C D Em F#dim G และ
Gmaj7 Am7 Bm7 Cmaj7 D7 Em7 F#m7b5 G
ก็จะได้ โน๊ตและกลุ่มคอร์ดออกมา ถ้าเราคุ้นเคยกะกลุ่มคอร์ดของคีย์นั้นๆ หรือ คุ้นเคยกะโน๊ตในคีย์นั้น ก็จะรู้ว่าเพลงนี้ ท่อนนี้กะลังเล่น คีย์อะไรอยู่
สิ่งที่ คุณต้องจำก็คือ คอร์ดที่ 1 หรือ Root จะเป็น คอร์ด Maj นะ คอร์ด ที่ 2 เป็น Minor นะ คอร์ด ที่ 3 จะเป็น Minor คอร์ด ที่ 4 เป็น Major....แบบนี้ไปเรื่อย ๆ เสื้อเหมือนเดิมแต่เปลี่ยน Root นั่นเองครับ ลองไล่กันดู หรือจะจำว่า อ้อ เจอ คอร์ด D ในคีย์ C มันไม่ใช่ D Major มันต้องเป็น D minor สิ หรือ เจอ คอร์ด E ในคีย์ G โห่บอกไปเลยว่าต้องเล่น Em แต่ว่า อย่าลืมคำว่าคอร์ด นอกคีย์นะ เพราะสามารถมีได้ อย่างเพลง หยุด ของ Groove riders เพลงนี้คีย์ C แต่ คอร์ด D ดันเป็น เมเจอร์อ่ะ อันนี้ มีการใช้ทฤษฎีอื่นเข้ามาเพิ่มสีสันในเพลงครับ ส่วนกลุ่มคอร์ดพวกนี้มาจากไหน ไว้จะอธิบายทีหลังแล้วกัน เอาเป็นว่า โน๊ตที่ประกอบขึ้นมาเป็นคอร์ด มันก็อยู่ใน 7 ตัว ของคีย์มันเองนั่นแหล่ะ
ต่อไป เอาการบ้านเก่ามาทำกัน
การบ้าน ครับ เล่นเบส ตามคอร์ดต่อไปนี้ และ ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ เล่นโน๊ตตัว Root ของคอร์ด ใน Position แรก ใช้โน๊ต ตัวกลม ขาว และดำ เล่นไปเรื่อยๆ ฟังเสียงคอร์ดไปด้วย และตามจังหว่ะให้ดีครับ
Bdim Em Am Dm G C (คอร์ด Triad)
ได้คอร์ด 3 ตระกูล คือ
1. _dim ดิมินิช
2. _m ไมเนอร์ และ
3. _ เมเจอร์
http://www.activebass.com/default.asp?src=g&gv=100&bv=0&dv=0&r=1&d=20%3A26-8%3A2-17%3A2-5%3A2-14%3A1-2%3A1-&l=6&f=1&ms=1&me=6&t=90
(ในหน้า เว็ป ของ Activebass จะมี คอนโซลให้ปรับ เกี่ยวกับ Tempo จังหว่ะ หรือ ดับเสียงกลอง ลองปรับดูครับ แต่ถ้าใครไม่สะดวก สามารถ หาโปรแกรมที่ ชื่อ Band In A Box มาลงก็ได้ครับ ช่วยได้อย่างมากเลย )
คราวนี้ให้เพิ่มเป็น คอร์ด Tetra-ad ครับ
Bm7b5 Em7 Am7 Dm7 G7 Cmaj7
http://www.activebass.com/default.asp?src=g&gv=100&bv=0&dv=0&r=1&d=20%3A24-8%3A11-17%3A11-5%3A11-14%3A9-2%3A14-&l=6&f=2&ms=1&me=6&t=80
ได้คอร์ด 4 ตระกูล คือ
1. _m7b5 ไมเนอร์เซเว่นแฟร็ตไฟต์
2. _m7 ไมเนอร์เซ่เว่น
3. _7 โดมิแน้นท์เซเว่น(เรียกเซเว่นเฉยๆ)
4. _maj7 เมเจอร์เซเว่น
แล้วลองเล่นในคีย์อื่น ๆ บ้างครับ
คีย์ C เล่น Bm7b5 Em7 Am7 Dm7 G7 Cmaj7
คีย์ G เล่น F#m7b5 Bm7 Em7 Am7 D7 Gmaj7
คีย์ D เล่น C#m7b5 F#m7 Bm7 Em7 A7 Dmaj7
คีย์ A เล่น G#m7b5 C#m7 F#m7 Bm7 E7 Amaj7
คีย์ E เล่น D#m7b5 G#m7 C#m7 F#m7 B7 Emaj7
คีย์ B เล่น A#m7b5 D#m7 G#m7 C#m7 F#7 Bmaj7
เล่นทั้ง ตัวกลม ตัวขาว และ ตัวดำ ให้ฟังเสียงคอร์ด ให้ดีครับ จำความรู้สึก Character ลักษณะ ของโทนเสียง โทนคอร์ด ที่ออกมา เล่น ตรงตามจังหว่ะ ให้ได้ การดีดแต่หล่ะ ครั้ง เสียงอย่าห้วน สั่น Buzz ควรคุมการดีด ในแต่หล่ะ ตัวโน๊ตให้ เสียงดัง เท่าๆกันด้วย
Advance เพิ่มความเร็ว Tempo ของ Metronome ขึ้นไปบ้างเมื่อคล่องแล้ว
การบ้าน ครับ
ให้หาโน๊ต ใน Scale Major ทั้งหมดออกมา ของทุกคีย์ เลยครับ ผมกำหนด Root ให้เป็น 2 แถวเรียงตามนี้
1. C G D A E B F# C# G# D# A# F (หาโน๊ตใน Cmajor ออกมา,ใน G major ออกมา ไปเรื่อยๆจนถึง F....แต่มีข้อแม้คือ ห้ามเขียนโน๊ตด้วยเครื่อง b แฟร็ต ให้เป็นชาร์ปให้หมด)
2 .C F Bb Eb Ab Db Gb B E A D G (หาโน๊ตใน C major ออกมาใน F major ออกมา ไปเรื่อยๆ จนถึง G....แต่มีข้อแม้คือ ห้ามเขียนโน๊ตด้วย # ชาร์ปให้เขียน แฟร็ตทั้งหมด)
การบ้านนี้มีความหมายสำหรับ บทความคราวหน้าครับ ไว้จะเฉลย และอธิบายต่อไปครับ ลองทำกันดูหวังว่าคงไม่ทำให้ปวดหัวจนเกินไป
ในดนตรีสากล เครื่องดนตรี ส่วนใหญ่สามารถ จะเล่น โน๊ตได้ มากกว่า 7 ตัว มีเครื่องดนตรีหลายชิ้นที่สามารถ เล่นโน๊ต ได้ ครบ ทั้ง 12 ตัวโน๊ต ทำให้สามารถเล่นได้ทุกคีย์ (คำว่าคีย์จะอธิบายอีกที)
เปรียบเทียบกับ เครื่องดนตรี ไทยก็ได้ครับ ส่วนใหญ่ เครื่องดนตรีไทย มีโน๊ต ไม่ครบ 12 ตัว ทำให้ เล่นเพลงสากลไม่ได้ ต้องปรับ เพลงในบางส่วน ถ้า เพื่อมาเล่นกะดนตรีสากลครับ แต่ก็เคยได้ยินว่า "แคน"เครื่องดนตรีภาคอีสานของเรา สามารถ เล่นโน๊ตได้ครบ 12 ตัวครับ ในส่วนของเบสกีตาร์ สามารถ เล่น ตัวโน๊ตได้ทุกตัวครับโน๊ตทั้ง 12 ตัว ครับ ตัวโน๊ตก็มีดังนี้ คือ
1. C โด
2. C# , Db โด ชาร์ป หรือ เร แฟร็ต
3. D เร
4. D# ,Eb เรชาร์ป หรือ มี แฟร็ต
5. E มี
6. F ฟา
7. F# , Gb ฟา ชาร์ป หรือ ซอล แฟร็ต
8. G ซอล
9. G# , Ab ซอล ชาร์ป หรือ ลา แฟร็ต
10. A ลา
11. A# ,Bb ลาชาร์ป หรือ ที แฟร็ต
12. B ที
โน๊ตทั้งหมดจะ วางอยู่บนเฟร็ต หรือฟิงเกอร์บอร์ด ตามรูปด้านล่างนี้ ส่วน จากเฟร็ต 12 เป็นต้นไปก็เรียงโน๊ตไปเหมือนกัน (มองเฟร็ต 13 เท่ากับเฟร็ต1 เฟร็ต 14 เท่ากับ เฟร็ต 2 ไปเรื่อยๆ จนถึง เฟร็ต 24 เท่ากับเฟร็ต 12 นะเอง ครับ)
เครื่องหมายที่ตามหลังตัวโน๊ตมาหรือ (Accidental) เครื่องหมาย # ให้อ่านว่าชาร์ป หมายถึง เล่นโน๊ตตัวนั้น แต่ สูง ขึ้น ครึ่งเสียง (1เฟร็ต)
เครื่องหมาย b ให้อ่านว่า แฟร็ต หมายถึงเล่นโน๊ตตัวนั้น แต่ต่ำว่า ครึ่ง เสียง (1 เฟร็ต)
Tips ให้มองว่าโลกนี้ มี โน้ตด้วยกัน 12 ตัวครับ จะได้เข้าใจง่ายๆ ครับ ไม่ใช่ 7
โน๊ตทั้ง 12 ตัว พอเรียงกัน ก็เรียกว่า บันไดเสียง (Scale) โครมาติค ส่วนตัว ผม จะมองว่า Scale นี้ มันเป็น พื้นฐาน ให้ Scale อื่น ๆ คือรวมโน๊ตทุกตัวมากกว่าครับ เป็นเหมือนตารางที่ห่างเท่าๆกัน ทุกครึ่งเสียง ไม่ได้ให้ความรู้สึกอะไร
Tips ข้อสังเกต คือ โลกนี้จะไม่มีใครพูดตัวโน๊ตที่ว่า E# หรือ Fb , B# หรือ Cb มีแต่พูดตอนเรียนทฤษฎี(ลึก)เท่านั้น โลกความเป็นจริงไม่มีโน๊ตเหล่านี้ เพราะ E# มันคือ F ,Fb มันคือ E, B#มันคือC , CbมันคือB
ต่อไป มาพูดถึง คำว่าคีย์กันครับ
คีย์ Key ก็หมายถึง กลุ่มตัวโน๊ต ที่ถูกนำใช้ โดยมากในเพลงนั้นๆ ถ้าบอกว่าเพลงนี้คีย์ C กลุ่มตัวโน๊ตที่เอามาเล่นในเพลงก็อยู่ ใน 7 ตัว ก็คืออยู่บน C Major Scale มีโน๊ตคือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที และคอร์ด ที่เล่นก็จะสัมพันธ์กันกะสเกลนี้ หรือ ก็คือ เอามาจากโน๊ต 7 ตัวใน คีย์นั่นเอง ที่ใช้คำว่าโดยมาก เพราะ เพลง ๆนึงไม่ได้กำหนดว่าต้องใช้โน๊ตแค่ 7ตัวเท่านั้น ยังสามารถ เพิ่ม คีย์ เปลี่ยนคีย์ เอาคอร์ดส่งอื่น ๆมาใช้ เกิด ตัวโน๊ตใหม่ๆ เข้ามาในคีย์ บางคนโซโล่โดยใช้โหมดซึ่งจะได้โทนใหม่ ซึ่งแน่นอน มีโน๊ตเข้ามามากขึ้น สรุปว่า อย่ายึดติดครับ
--------จงทำความเข้าใจคำว่า คีย์ และ Scale ให้ดี มันเกี่ยวข้องกับโน๊ต 7 ตัวเดียวกันแต่ในคนละลักษณะอ่ะครับ--------------
แต่มีข้อสังเกตคือ 1 เพลง ไม่จำเป็น ต้องเล่นโน๊ต แต่ในคีย์นั้นก็ได้ จะเล่น โน๊ตแค่ 5 ตัวใน คีย์ก็ได้ หรือจะดึงตัวโน๊ตนอกคีย์มาเล่นก็ได้ จะ เปลี่ยน คีย์ไปมาก็ยังได้ ครับ ไม่ได้บังคับครับ บางคนบอกเพลงของผมไปซ้ำกะคนอื่น เพราะ โน๊ตมันมีแค่ 7 ตัว ให้ทำไง ผมว่า คนพูดงี้มันไม่ได้เรื่องอ่ะครับ
คงเข้าใจคำว่าคีย์แล้วนะ ต่อไป มาดูโน๊ตใน คีย์ ทั้ง หมดกัน
คีย์ C มีโน๊ต C D E F G A B C
คีย์ D มีโน๊ต D E F# G A B C# D
คีย์ E มีโน๊ต E F# G# A B C# D# E
.... อ๊ะ! ไม่บอกหรอก บอกไปคุณก็จำไม่ได้
ไม่ต้องจำตอนนี้ครับ แต่ให้ทำตามวิธีนี้้ ครับ
การหาตัวโน๊ตในคีย์ หรือ Scale แล้วก็ให้ไล่ดีด ตามฟอร์มนิ้วเดิมครับ แต่เปลี่ยน Root ไป คีย์ที่ต้องการครับ ก็จะเฉลยโน๊ตที่ เราต้องการออกมา
เช่นผมจะไล่ Scale Major โดยวางนิ้ว ฟอร์มตามนี้ 2 4 - 1 2 4 - 1 3 4 เหมือนตัวอย่างคราวที่แล้วนะ
1 คือ นิ้วชี้(ซ้าย)
2 คือ นิ้วกลาง
3 คือ นิ้วนาง
4 คือ นิ้วก้อย
- ขีดคือ เปลี่ยนสายนะ ดูตามวีดีโอครับ
จำไปเลยนะ 2 4 1 2 4 1 3 4 เป็น พื้นฐาน ให้เล่นจนแก่เลย กลาง ก้อย - ชี้ กลาง ก้อย - ชี้ นาง ก้อย เข้าใจแล้วนะ
ต่อไปจะอธิบายคำว่าราก หรือ รูท การเริ่มดีดโน๊ตตัวแรกในสเกลตามวีดีโอก็คือ นิ้ว 2 (นิ้วกลาง) ตัวแรก หรือโน๊ตที่ดีดตัวแรกของสเกล ให้เรียกว่า Root นะ ตัวโน๊ตตัวต่อ ไปที่ได้ ก็ให้เรียกว่า ตัวที่ 2 ตัวที่ 3 ตัวที่ 4 ตัวที่ 5....ไปเรื่อย ๆครับ
R 2 3 4 5 6 7 8
C D E F G A B C
อันนี้ คือ บันไดเสียง C Major
D ก็เป็นตัวที่ 2 ของ C Major
E ก็เป็นตัวที่ 3 ของ C Major
... ไล่ไปเรื่อยๆ
เข้าใจแล้วนะ แล้วก็ลอง อย่างนี้ เลื่อน ไอ้ 2 4 1 2 4 1 3 4 เปลี่ยน Root มันไป ตามท่ต้องการ
เปลี่ยน ไป D ซิ ก็จะได้ D major ไป E ซิ ก็ได้ E major ไป F (ตามวีดีโอด้านบน) ซิ....แล้วทำเองให้ครบ12 คีย์ 2 4 1 2 4 1 3 4 เหมือนเดิม (เหมือนใส่เสื้อตัวเดิม แต่ เปลี่ยนคนใส่) ก็ จะได้ โน๊ต ใน สเกล Major ของ รูท ๆนั้นทั้ง่หมด พอนิ้วเราไปแล้วก็จะเฉลยตัวโน๊ตในคีย์ออกมาทั้งหมดครับ ถ้าใครยังจำโน๊ตบนเฟร็ตไม่ได้ก็กลับไปดูตารางด้านบน หรือ ทบทวนบทความที่แล้วๆ มานะครับ จากนี้ คุณก็จะเขียน ตัวโน๊ตใน สเกล เมเจอร์ ทั้ง 12 คีย์ออกแล้วนะ นั่งทำเป็นการบ้านดูครับ
เวลาที่เรา เลื่อน Root ไป ข้างหน้า หรือ ข้างหลัง เค้า เรียกศัพท์ ภาษาอังกฤษ ว่า Tranposition หรือ Transpose ทรานสโพส หรือว่า เลื่อนคีย์ นะเอง
อย่างเพลงนี้ เล่นอยู่ในตัวโน๊ตของ Cmajor (คีย์ C) เพื่อน บอก Tranpose ขึ้น ครึ่งเสียง บางคนเรียกว่าเพิ่มคีย์ นั่น หมายความว่า เลื่อน C major ให้ เป็น C# major โน๊ตทั้ง 7 ตัวก็โดนเลื่อน ขึ้น ครึ่งเสียงหมดเลย ทุกตัวเลื่อนหมด ได้กลุ่มตัวโน๊ต ใหม่ แต่สำหรับเบสเราไม่ต้องสนใจก็ได้ เราแค่เลื่อนมือ แล้วเล่นโน๊ตในโครงสร้างที่เหมือนเดิม(หน้าตาเหมือนเดิม) หลับตาเล่น แล้วเล่นเหมือนเดิมก็เท่านั้น (อันนี้เป็นข้อดีของ เครื่องดนตรีแบบ Fret เช่น เบสหรือ กีต้าร์ แต่ถ้าเป็น เปียโน การ Transpose ยากเหมือนกัน เพราะ ต้องรู้ว่ามีโน๊ตไรบ้าง ยกเว้น คีย์บอร์ดไฟฟ้า ที่สามารถใช้ ตัวอิเล็กทรอนิคส์เครื่องเข้ามาจัดการ ทรานสโพสต์ได้)
Tips การ Transpose ลงหรือขึ้น เดี๋ยวนั้น เดี๋ยวนี้เวลาเล่นสด เช่นนักร้องต้องการให้ลดคีย์ หรือไปแจม บลูส์กะเพื่อน หรือว่า เพลงนั้นเพลงนี้ มีการเล่นลดเสียง ส่วนใหญ่ นักดนตรีจะง่อยรับประทาน มึความกลัวมากๆ ซึ่งเป็นเป็นจุดอ่อนมากๆ ครับ มันเป็นเบสิคที่สำคัญครับ น้องๆ ฝึกเข้าไว้นะ จะได้แซงรุ่นพี่ครับ ถ้าในวงบอกเอา คีย์ไหนเราก็เล่นได้ ทั้งเพลง อันนี้ ถือว่ามีความเป็นโปรอย่างมากเลยครับ
แนะนำการฝึก ลอง เปิด หนังสือเพลง ครับ เล่นเพลง เดิมแต่ลองเลื่อนขึ้นหรือ ลงเลยครับ ดูคอร์ด ไปแล้ว คิด ทรานสโพสต์ ทันทีฝึกให้คล่องๆ ครับเพื่อใช้ใน สถานะการณ์จริง อันนี้อย่าคิดว่ายากนะ จงพยายามครับ
สรุป สมมุติ ถ้า นักร้อง ร้องไม่ไหว เสียงสูง จัด เค้า บอก ให้เลื่อนลง ครึ่ง คีย์ซิ ก็หมายถึง ถ้าเพลงนั้นเป็นคีย์ B major เลื่อนลง เสียงนึงเลย ก็ Bbmajor เข้าใจยังขอรับ
หรือ บางเพลง ในเพลงเดียวกัน มีการเปลี่ยน คีย์ ก็มี เป็น เรื่องปกติมาก เลยครับ ดังนั้น หน้าที่ของคุณคือทำความคุ้นเคยกะ คีย์ให้ดีครับ อย่างน้อย ๆคีย์ ที่เค้าเล่นกัน หลัก ๆต้องพอจำให้ได้ว่ามีโน๊ตไรบ้างครับ จะทำให้เรามีพื้นฐานที่ดีครับ
คีย์ หลัก ๆ ที่ต้องฝึกกัน ก็ C G D A E F Bb Eb
การดูว่าเพลงนั้น เพลงนี้ คีย์ไหน ส่วนใหญ่ จะ ดู ว่าคอร์ด แรก คอร์ด อะไร ครับ แต่ ก็อาจจะพลาดได้นะ เราต้องดู กลุ่มตัวโน๊ต หรือ กลุ่มคอร์ด ว่าสัมพันธ์กะคีย์ไหนสุด ถึงจะชัวร์กว่าครับ บางเพลงเอาท่อนอื่นๆ มาขึ้น บางเพลง มีการเปลี่ยน คีย์ การดูแต่เฉพาะ คอร์ดแรก ก็มีโอกาสผิดสูงครับ
ต่อไปจะเริ่มอธิบายคำว่าคอร์ด
คอร์ด คือ กลุ่มตัวโน๊ต 3 ตัว ขึ้นไป มาอยู่ด้วยกัน มาอยู่รวมกัน หรือ ประสานสียงกัน 1 คอร์ด ประกอบขึ้น จาก โน๊ต 3 ตัวขึ้นไป ลักษณะของตัวโน๊ตที่มีรวมกันเป็นคอร์ด จะอยู่ห่างๆ กันครับ ถ้าสมมุติมีตัวโน๊ต เรียงไปตามสเกล ไปเรื่อยๆ (2 Octave) ตามนี้ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 คอร์ด โดยมากจะมี โครงสร้างเป็น 1 3 5 , 1 3 5 7, 1 4 5, (เป็นตัวโน๊ตที่ค่อนข้างห่างกันหน่อย) จะไม่มีคอร์ด แบบ 1 2 3 แน่นอนครับ ตัวโน๊ตมันใกล้กันจนกัดกันครับ (ลองไปกดคีย์บอร์ดดู ว่าเสียงเป็นแบบไหน)
กลุ่มของคอร์ด ให้มองเป็นตามนี้ครับ ให้เริ่มมองตามนี้
คีย์ C major (หรือเรียกคีย์ C เฉยๆ ) มีโน๊ต - C D E F G A B C (ตัวภาษาอังกฤษบรรทัดนี้แทนตัวโน๊ต เดี่ยวๆ)
คอร์ด 3 เสียง หรือ Triad (1คอร์ด มี 3 ตัวโน๊ต) มี คอร์ด ได้แก่ C Dm Em F G Am Bdim C
คอร์ด 4 เสียง หรือ Tetra-ad (1คอร์ด มี 4 ตัวโน๊ต) มีคอร์ดได้แก่ Cmaj7 Dm7 Em7 Fmaj7 G7 Am7 Bm7b5 Cmaj7
ยกตัวอย่างการอ่านชื่อคอร์ด
C อ่านว่าคอร์ด ซี หรือคอร์ด ซีเมเจอร์ แต่ไม่จำเป็นต้องอ่านว่าคอร์ด ซีเมเจอร์ครับ เพราะ รู้กันอยู่แล้วว่าเป็น เมเจอร์ ถ้าไม่ได้พูดอะไรต่อท้าย
Dm อ่านว่า คอร์ด ดี ไมเนอร์ (ห้ามเขียนตัวเอ็มด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ เพราะ ถ้าตัวพิมพ์ใหญ่ จะหมายถึง เมเจอร์)
Bdim ให้อ่านว่า บีดิม หรือ บีดิมมินิช
Em7 ให้อ่านว่า อีไมเนอร์เซเว่น (การเขียนตัวเลขเจ็ด ห้ามมีขีดกลางครับ จำไว้เลยครับ)
Fmaj7 ให้อ่านว่า เอฟเมเจอร์เซเว่น
G7 ให้อ่านว่า จี เซเว่น ชื่อจริงๆ มันคือ โดมิแน้นท์เซเว่น แต่ไม่จำเป็นต้องเรียกครับ
Bm7b5 ให้อ่านว่า บีไมเนอร์เซเว่นแฟร็ตไฟว์
Tips Triad มีโน๊ต 3 ตัว เป็นส่วนหนึ่ง (Subset) ของ Tetra-ad มีโน๊ต 4 ตัว
การบ้าน คือ จากที่เราหา โน๊ต ใน บันไดเสียง เมเจอร์ โน๊ตในคีย์เป็นแล้ว พอหาออกมาได้ 12 คีย์แล้ว ก็มา หัดใส่ สกุลคอร์ด ให้ กับตัวโน๊ตนั้นๆ ก็จะได้ กลุ่มคอร์ด ของทุกคีย์ออกมา
วอย่าง คีย์ C major มีโน๊ต - C D E F G A B C (ตัวภาษาอังกฤษบรรทัดนี้แทนตัวโน๊ต เดี่ยวๆ)
Triad มี คอร์ด ได้แก่ C Dm Em F G Am Bdim C
Tetra-ad มีคอร์ดได้แก่ Cmaj7 Dm7 Em7 Fmaj7 G7 Am7 Bm7b5 Cmaj7
ลองหาคีย์อื่นๆดู ลอง G major มีโน๊ตไรบ้างลองไล่ดิ๊ 24 -124 -134 อ่ะ ได้โน๊ต
G A B C D E F# G (ตัวภาษาอังกฤษบรรทัดนี้แทนโน๊ตเดี่ยวๆ)
ใส่ชื่อคอร์ด (เสื้อ)Triad และTetra-ad เลียนแบบในคีย์ C เหมือนเดิม(ตัวเดิม)
ก็ได้
G Am Bm C D Em F#dim G และ
Gmaj7 Am7 Bm7 Cmaj7 D7 Em7 F#m7b5 G
ก็จะได้ โน๊ตและกลุ่มคอร์ดออกมา ถ้าเราคุ้นเคยกะกลุ่มคอร์ดของคีย์นั้นๆ หรือ คุ้นเคยกะโน๊ตในคีย์นั้น ก็จะรู้ว่าเพลงนี้ ท่อนนี้กะลังเล่น คีย์อะไรอยู่
สิ่งที่ คุณต้องจำก็คือ คอร์ดที่ 1 หรือ Root จะเป็น คอร์ด Maj นะ คอร์ด ที่ 2 เป็น Minor นะ คอร์ด ที่ 3 จะเป็น Minor คอร์ด ที่ 4 เป็น Major....แบบนี้ไปเรื่อย ๆ เสื้อเหมือนเดิมแต่เปลี่ยน Root นั่นเองครับ ลองไล่กันดู หรือจะจำว่า อ้อ เจอ คอร์ด D ในคีย์ C มันไม่ใช่ D Major มันต้องเป็น D minor สิ หรือ เจอ คอร์ด E ในคีย์ G โห่บอกไปเลยว่าต้องเล่น Em แต่ว่า อย่าลืมคำว่าคอร์ด นอกคีย์นะ เพราะสามารถมีได้ อย่างเพลง หยุด ของ Groove riders เพลงนี้คีย์ C แต่ คอร์ด D ดันเป็น เมเจอร์อ่ะ อันนี้ มีการใช้ทฤษฎีอื่นเข้ามาเพิ่มสีสันในเพลงครับ ส่วนกลุ่มคอร์ดพวกนี้มาจากไหน ไว้จะอธิบายทีหลังแล้วกัน เอาเป็นว่า โน๊ตที่ประกอบขึ้นมาเป็นคอร์ด มันก็อยู่ใน 7 ตัว ของคีย์มันเองนั่นแหล่ะ
ต่อไป เอาการบ้านเก่ามาทำกัน
การบ้าน ครับ เล่นเบส ตามคอร์ดต่อไปนี้ และ ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ เล่นโน๊ตตัว Root ของคอร์ด ใน Position แรก ใช้โน๊ต ตัวกลม ขาว และดำ เล่นไปเรื่อยๆ ฟังเสียงคอร์ดไปด้วย และตามจังหว่ะให้ดีครับ
Bdim Em Am Dm G C (คอร์ด Triad)
ได้คอร์ด 3 ตระกูล คือ
1. _dim ดิมินิช
2. _m ไมเนอร์ และ
3. _ เมเจอร์
http://www.activebass.com/default.asp?src=g&gv=100&bv=0&dv=0&r=1&d=20%3A26-8%3A2-17%3A2-5%3A2-14%3A1-2%3A1-&l=6&f=1&ms=1&me=6&t=90
(ในหน้า เว็ป ของ Activebass จะมี คอนโซลให้ปรับ เกี่ยวกับ Tempo จังหว่ะ หรือ ดับเสียงกลอง ลองปรับดูครับ แต่ถ้าใครไม่สะดวก สามารถ หาโปรแกรมที่ ชื่อ Band In A Box มาลงก็ได้ครับ ช่วยได้อย่างมากเลย )
คราวนี้ให้เพิ่มเป็น คอร์ด Tetra-ad ครับ
Bm7b5 Em7 Am7 Dm7 G7 Cmaj7
http://www.activebass.com/default.asp?src=g&gv=100&bv=0&dv=0&r=1&d=20%3A24-8%3A11-17%3A11-5%3A11-14%3A9-2%3A14-&l=6&f=2&ms=1&me=6&t=80
ได้คอร์ด 4 ตระกูล คือ
1. _m7b5 ไมเนอร์เซเว่นแฟร็ตไฟต์
2. _m7 ไมเนอร์เซ่เว่น
3. _7 โดมิแน้นท์เซเว่น(เรียกเซเว่นเฉยๆ)
4. _maj7 เมเจอร์เซเว่น
แล้วลองเล่นในคีย์อื่น ๆ บ้างครับ
คีย์ C เล่น Bm7b5 Em7 Am7 Dm7 G7 Cmaj7
คีย์ G เล่น F#m7b5 Bm7 Em7 Am7 D7 Gmaj7
คีย์ D เล่น C#m7b5 F#m7 Bm7 Em7 A7 Dmaj7
คีย์ A เล่น G#m7b5 C#m7 F#m7 Bm7 E7 Amaj7
คีย์ E เล่น D#m7b5 G#m7 C#m7 F#m7 B7 Emaj7
คีย์ B เล่น A#m7b5 D#m7 G#m7 C#m7 F#7 Bmaj7
เล่นทั้ง ตัวกลม ตัวขาว และ ตัวดำ ให้ฟังเสียงคอร์ด ให้ดีครับ จำความรู้สึก Character ลักษณะ ของโทนเสียง โทนคอร์ด ที่ออกมา เล่น ตรงตามจังหว่ะ ให้ได้ การดีดแต่หล่ะ ครั้ง เสียงอย่าห้วน สั่น Buzz ควรคุมการดีด ในแต่หล่ะ ตัวโน๊ตให้ เสียงดัง เท่าๆกันด้วย
Advance เพิ่มความเร็ว Tempo ของ Metronome ขึ้นไปบ้างเมื่อคล่องแล้ว
การบ้าน ครับ
ให้หาโน๊ต ใน Scale Major ทั้งหมดออกมา ของทุกคีย์ เลยครับ ผมกำหนด Root ให้เป็น 2 แถวเรียงตามนี้
1. C G D A E B F# C# G# D# A# F (หาโน๊ตใน Cmajor ออกมา,ใน G major ออกมา ไปเรื่อยๆจนถึง F....แต่มีข้อแม้คือ ห้ามเขียนโน๊ตด้วยเครื่อง b แฟร็ต ให้เป็นชาร์ปให้หมด)
2 .C F Bb Eb Ab Db Gb B E A D G (หาโน๊ตใน C major ออกมาใน F major ออกมา ไปเรื่อยๆ จนถึง G....แต่มีข้อแม้คือ ห้ามเขียนโน๊ตด้วย # ชาร์ปให้เขียน แฟร็ตทั้งหมด)
การบ้านนี้มีความหมายสำหรับ บทความคราวหน้าครับ ไว้จะเฉลย และอธิบายต่อไปครับ ลองทำกันดูหวังว่าคงไม่ทำให้ปวดหัวจนเกินไป
ทักษะการเล่นกีต้าร์
วิธีอ่านแทปแทป (Tab หรือ Tablature) คือ สัญลักษณ์ที่ใช้จดบันทึกเสียงทางดนตรี สำหรับเครื่องสายที่มีลักษณะคล้ายกีต้าร์ เช่น แบนโจ (Banjo) หรือ เบส (Bass) โดยแทป (Tab) นั้นได้พัฒนามาจากโน้ตดนตรีสากล แต่จะอ่านง่ายกว่า สามารถเข้าใจได้รวดเร็ว ทั้งยังบอกถึงตำแหน่งนิ้วบนคอกีต้าร์ได้ดีกว่าโน้ตดนตรีสากลอีกด้วย
แทป (Tab) มีวิธีการบันทึกได้ 2 แบบ คือ แทป (Tab) แบบมือขวา และ แทป (Tab) แบบมือซ้าย ขึ้นอยู่กับว่าต้องการให้ผู้อ่านนั้นได้รับรู้ถึงเรื่องอะไร
แทป (Tab) มือขวา บอกตำแหน่งของนิ้วมือขวาที่ใช้ดีดสายกีต้าร์ต่าง ๆ เพื่อให้ทราบว่าต้องดีดเส้นไหนบ้างหรือเกาสายกีต้าร์เส้นไหนบ้าง รูปแบบใด
แทป (Tab) มือซ้าย บอกวิธีการจับคอร์ดว่าต้องจับอย่างไรบ้าง เนื่องจากบางเพลงอาจจะต้องจับคอร์ดที่ยากกว่าปกติ หรือเป็นลูกเ่ล่นเพิ่มเติมในการเกาหรือดีดเพลงนั้น ๆ และเพลงที่เน้นการวางนิ้วมือบนคอกีต้าร์และการเคลื่อนที่ของนิ้วมือซ้าย ตามอารมณ์ของเพลงนั้น ๆ เช่น เพลงคลาสสิค เพลงบรรเลงด้วยกีต้าร์
ตัวอย่างโน้ตแทป
C D
---------------------------------------2-------------- สายที่ 1 ของกีต้าร์ หรือสายล่างสุด (เสียงแหลมสุด)
------------1-----1--------------2---------2--------- สายที่ 2 ของกีต้าร์
---------0-----0-----0--------3----3----3----3------ สายที่ 3 ของกีต้าร์
------2---------------------0------------------------- สายที่ 4 ของกีต้าร์
---3-------------------------------------------------- สายที่ 5 ของกีต้าร์
------------------------------------------------------ สายที่ 6 ของกีต้าร์ หรือสายบนสุด (เสียงทุ้มสุด)
จากตัวอย่างข้างบนการอ่านโน้ตแทปก็คือ ให้ดูจากคอร์ดด้านบนก่อนว่าเป็นคอร์ดอะไร ให้จับคอร์ดตามนั้น
จากนั้นตัวเลขที่เห็นก็คือ เฟรตหรือช่องบนคอกีต้าร์ที่ใช้นิ้วกดลงไป ซึ่งหากตัวเลขอยู่บนสายไหนก็ให้ดีดสายนั้นๆ
จากตัวอย่าง เลข 3 อยู่บนสายที่ 5 ให้กดเฟรตที่ 3 ของสายที่ 5 และดีดสายที่ 5 เป็นอันจบโน้ตตัวแรก
ตัวถัดไปเป็นเลข 2 ให้กดเฟรตที่ 2 ของสายที่ 4 และดีดสายที่ 4 ก็จะจบโน้ตตัวที่ 2 หากเป็นเลข 0 ก็คือดีดสายเปล่าๆ โดยไม่ต้องกดอะไรเลย
เป็นไงบ้างครับเพื่อนๆ คงไม่ยากสำหรับมือใหม่นะครับ ยังไงก็ลองฝึกแกะแทปจากเพลงช้าๆ แนวอคูสติคกันดูนะครับ ค่อยๆ ฝึกกันครับ ถ้าเพื่อนๆ เล่นแทปกันคล่องแล้ว เดี๋ยวผมจะหาแทปมาลงในเว็บให้เยอะๆ ครับ ส่วนการถามตอบก็ไว้ไปถามกันบนเว็บบอร์ดได้เลยนะครับ เผื่อว่าจะมีเพื่อนๆ ท่านอื่นๆ เข้ามาตอบกันครับ
วิธีการหัดเล่นกีต้าร์
ในการหัดเล่นกีต้าร์นั้นเราจะต้องรู้พื้นฐานในการจับคอร์ดเสียก่อน
ซึ่งจะจับคอร์ดได้นั้นตัองดูตามตารางคอร์ดกีต้าร์ดังนี้
บางคนอาจจะยังดูไม่เป็นสำหรับคนที่หัดเล่นใหม่ๆ แต่มัน
ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแค่หยิบกีต้าร์ขึ้นมาแล้วใช้นิ้วกด
ไปตามจุดที่อยู่บนเส้นกีต้าร์ตามรูปภาพ พอกดได้แล้วก็หมั่น
ฝึกกดอยู่บ่อยๆเพื่อที่จะเกิดการเคยชินจนสาสารถเล่นได้ในที่สุด
การหัดไล่ scale กีต้าร์
ในการเล่นกีต้าร์นั้นนอกจากจะหัดจับคอร์ดแล้วนั้นที่สำคัญก็คือ
การหัดไล่สเกลล์ซึ่งการไล่สเกลล์นั้นเป็นพื้นฐานในการลีดกีต้าร์
ที่นักลีดกีต้าร์ทั้งหลายทำกันอยู่ก็มาจากการฝึกหัดไล่สเกลล์กัน
ทั้งนั้น การไล่สเกลล์นั้นเป็นการไล่นิ้วลงไปบนตัวโน๊ตของกีต้าร์
ซึ่งจะไล่แบบไหนนั้นก็แล้วแต่ผู้เล่นจะถนัดนั่นเองดังตัวอย่างตารางสเกลล์
การจับคอร์ดกีต้าร์
การจับคอร์ดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเล่นกีต้าร์เลยก็ว่าได้ ในโลกนี้มีคอร์ดอยู่มากมายมหาสาร
มีผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่าคอร์ดนั้นมีอยู่เป็นร้อยเป็นพันธ์เลยทีเดียว (โห้... ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ) ใครคิดวิธีจับแบบใหนได้ก็อาจจะเรียกเป็นคอร์ดใหม่เลยก็ได้ แต่อย่าพึ่งตกใจไปน่ะครับ คอร์ดหลักๆ นั้นมีอยู่แค่ 7 คอร์ดเท่านั้นเอง คือ A B C D E F และ G ส่วนที่เหลือนั้นก็จะเป็นพวกน้ำจิ๋มน้ำปลาทั้งนั้น
ในที่นี้ผมจะสอนวิธีการจับคอร์ดง่ายๆ และวิธีการดูคอร์ดจากรูปภาพ ซึ่งถ้าคุณรู้วิธีหล่าวนี้แล้ว คุณก็จะสามารถนำไปประยุคในการจับคอร์ดอื่นๆ ได้ เอาหละ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
จากรูป เป็นคอกีต้าร์ในลักษณะหันหน้าเข้าหาตัว เส้นในแนวตั้งก็คือสายกีต้านั้นเอง โดยเลข 1 ที่กำกับอยู่ข้างบนก็คือสายที่ 1 หรือสายที่เล็กที่สุด ส่วนเลขหกก็คือสายที่ใหญ่ที่สุด
เส้นในแนวนอนก็คือเส้นขั้นระหว่างเฟร็ต โดยเฟร็ตบนสุดก็คือเฟร็ตที่ 1 และถัดลงมาก็คือเฟร็ตที่ 2, 3, 4 .... ไปเรื่อยๆ
ส่วนรูปด้านขวานี้ เป็นตัวอย่างของการจับคอร์ด C ซึ่งตัวเลขในลูกกลมๆ สีแดงก็คือนิ้วมือซ้ายนั้นเอง โดยรายละเอียดมีดังนี้
1 = นิ้วชี้ 2 = นิ้วกลาง 3 = นิ้วนาง 4 = นิ้วก้อย
ตัวเลขต่างๆ หล่าวนี้ที่จริงแล้วในตารางคอร์ดทั่วๆ ไปจะไม่มีกำกับไว้ ถ้าไม่มีแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจับคอร์ดได้ถูกต้องหรือผิด? คำตอบก็คือไม่มีใครถูกใครผิดหรอกครับ เพราะการจับนั้นไม่ตายตัว ใครถนัดแบบใหนก็จับแบบนั้น แต่บางทีการจับให้ถูกต้องนั้นก็สำคัญเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นการจับคอร์ด G จากรูปจะเห็นว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องใช้นิ้วก้อย (เลข 4) ในการจับเลย เพราะนิ้วชิ้วเรายังว่างอยู่นิ หลายคนโดยเฉพาะมือใหม่ๆ ก็เลยใช้นิ้วชี้กดแทนนิ้วกลาง ส่วนนิ้วกลางก็เอาไปกดที่นิ้วนาง และนิ้วนางที่นิ้วก้อย ทำให้เราไม่ต้องใช้นิ้วก้อยเลย (ผมก็เคยจับแบบนี้มาตั้งนาน) ซึ่งดูเหมือนจะง่ายกว่าแบบแรกเยอะ เพราะมือใหม่ส่วนใหญ่จะไม่สันทัดกับการใช้นิ้วก้อยซักเท่าไหร
แต่ถ้าคุณเริ่มที่จะเล่นกีต้าร์เป็นแล้ว และคุณลองเล่นเพลงจากหนังสือเพลง คุณก็จะเจอกับคอร์ด Gsus4 ซึ่งจะต้องเปลี่ยนจากคอร์ด G ไปจับ Gsus4 (มันมักจะมาด้วยกัน) ซึ่งคุณจำเป็นมากที่จะต้องใช้นิ้วชี้ แต่นิ้วชี้คุณกลับใช้ไปแล้วซะนี่...
สรุปเลยละกันน่ะครับว่า การจับคอร์ดนั้นไม่ตายตัวเสมอไป แต่การจับให้ถูกหรือเหมาะสมก็เป็นสิ่งที่ควรทำครับ
ภาพคอร์ดกีต้าร์
แทป (Tab) มีวิธีการบันทึกได้ 2 แบบ คือ แทป (Tab) แบบมือขวา และ แทป (Tab) แบบมือซ้าย ขึ้นอยู่กับว่าต้องการให้ผู้อ่านนั้นได้รับรู้ถึงเรื่องอะไร
แทป (Tab) มือขวา บอกตำแหน่งของนิ้วมือขวาที่ใช้ดีดสายกีต้าร์ต่าง ๆ เพื่อให้ทราบว่าต้องดีดเส้นไหนบ้างหรือเกาสายกีต้าร์เส้นไหนบ้าง รูปแบบใด
แทป (Tab) มือซ้าย บอกวิธีการจับคอร์ดว่าต้องจับอย่างไรบ้าง เนื่องจากบางเพลงอาจจะต้องจับคอร์ดที่ยากกว่าปกติ หรือเป็นลูกเ่ล่นเพิ่มเติมในการเกาหรือดีดเพลงนั้น ๆ และเพลงที่เน้นการวางนิ้วมือบนคอกีต้าร์และการเคลื่อนที่ของนิ้วมือซ้าย ตามอารมณ์ของเพลงนั้น ๆ เช่น เพลงคลาสสิค เพลงบรรเลงด้วยกีต้าร์
ตัวอย่างโน้ตแทป
C D
---------------------------------------2-------------- สายที่ 1 ของกีต้าร์ หรือสายล่างสุด (เสียงแหลมสุด)
------------1-----1--------------2---------2--------- สายที่ 2 ของกีต้าร์
---------0-----0-----0--------3----3----3----3------ สายที่ 3 ของกีต้าร์
------2---------------------0------------------------- สายที่ 4 ของกีต้าร์
---3-------------------------------------------------- สายที่ 5 ของกีต้าร์
------------------------------------------------------ สายที่ 6 ของกีต้าร์ หรือสายบนสุด (เสียงทุ้มสุด)
จากตัวอย่างข้างบนการอ่านโน้ตแทปก็คือ ให้ดูจากคอร์ดด้านบนก่อนว่าเป็นคอร์ดอะไร ให้จับคอร์ดตามนั้น
จากนั้นตัวเลขที่เห็นก็คือ เฟรตหรือช่องบนคอกีต้าร์ที่ใช้นิ้วกดลงไป ซึ่งหากตัวเลขอยู่บนสายไหนก็ให้ดีดสายนั้นๆ
จากตัวอย่าง เลข 3 อยู่บนสายที่ 5 ให้กดเฟรตที่ 3 ของสายที่ 5 และดีดสายที่ 5 เป็นอันจบโน้ตตัวแรก
ตัวถัดไปเป็นเลข 2 ให้กดเฟรตที่ 2 ของสายที่ 4 และดีดสายที่ 4 ก็จะจบโน้ตตัวที่ 2 หากเป็นเลข 0 ก็คือดีดสายเปล่าๆ โดยไม่ต้องกดอะไรเลย
เป็นไงบ้างครับเพื่อนๆ คงไม่ยากสำหรับมือใหม่นะครับ ยังไงก็ลองฝึกแกะแทปจากเพลงช้าๆ แนวอคูสติคกันดูนะครับ ค่อยๆ ฝึกกันครับ ถ้าเพื่อนๆ เล่นแทปกันคล่องแล้ว เดี๋ยวผมจะหาแทปมาลงในเว็บให้เยอะๆ ครับ ส่วนการถามตอบก็ไว้ไปถามกันบนเว็บบอร์ดได้เลยนะครับ เผื่อว่าจะมีเพื่อนๆ ท่านอื่นๆ เข้ามาตอบกันครับ
วิธีการหัดเล่นกีต้าร์
ในการหัดเล่นกีต้าร์นั้นเราจะต้องรู้พื้นฐานในการจับคอร์ดเสียก่อน
ซึ่งจะจับคอร์ดได้นั้นตัองดูตามตารางคอร์ดกีต้าร์ดังนี้
บางคนอาจจะยังดูไม่เป็นสำหรับคนที่หัดเล่นใหม่ๆ แต่มัน
ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแค่หยิบกีต้าร์ขึ้นมาแล้วใช้นิ้วกด
ไปตามจุดที่อยู่บนเส้นกีต้าร์ตามรูปภาพ พอกดได้แล้วก็หมั่น
ฝึกกดอยู่บ่อยๆเพื่อที่จะเกิดการเคยชินจนสาสารถเล่นได้ในที่สุด
การหัดไล่ scale กีต้าร์
ในการเล่นกีต้าร์นั้นนอกจากจะหัดจับคอร์ดแล้วนั้นที่สำคัญก็คือ
การหัดไล่สเกลล์ซึ่งการไล่สเกลล์นั้นเป็นพื้นฐานในการลีดกีต้าร์
ที่นักลีดกีต้าร์ทั้งหลายทำกันอยู่ก็มาจากการฝึกหัดไล่สเกลล์กัน
ทั้งนั้น การไล่สเกลล์นั้นเป็นการไล่นิ้วลงไปบนตัวโน๊ตของกีต้าร์
ซึ่งจะไล่แบบไหนนั้นก็แล้วแต่ผู้เล่นจะถนัดนั่นเองดังตัวอย่างตารางสเกลล์
การจับคอร์ดกีต้าร์
การจับคอร์ดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเล่นกีต้าร์เลยก็ว่าได้ ในโลกนี้มีคอร์ดอยู่มากมายมหาสาร
มีผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่าคอร์ดนั้นมีอยู่เป็นร้อยเป็นพันธ์เลยทีเดียว (โห้... ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ) ใครคิดวิธีจับแบบใหนได้ก็อาจจะเรียกเป็นคอร์ดใหม่เลยก็ได้ แต่อย่าพึ่งตกใจไปน่ะครับ คอร์ดหลักๆ นั้นมีอยู่แค่ 7 คอร์ดเท่านั้นเอง คือ A B C D E F และ G ส่วนที่เหลือนั้นก็จะเป็นพวกน้ำจิ๋มน้ำปลาทั้งนั้น
ในที่นี้ผมจะสอนวิธีการจับคอร์ดง่ายๆ และวิธีการดูคอร์ดจากรูปภาพ ซึ่งถ้าคุณรู้วิธีหล่าวนี้แล้ว คุณก็จะสามารถนำไปประยุคในการจับคอร์ดอื่นๆ ได้ เอาหละ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
จากรูป เป็นคอกีต้าร์ในลักษณะหันหน้าเข้าหาตัว เส้นในแนวตั้งก็คือสายกีต้านั้นเอง โดยเลข 1 ที่กำกับอยู่ข้างบนก็คือสายที่ 1 หรือสายที่เล็กที่สุด ส่วนเลขหกก็คือสายที่ใหญ่ที่สุด
เส้นในแนวนอนก็คือเส้นขั้นระหว่างเฟร็ต โดยเฟร็ตบนสุดก็คือเฟร็ตที่ 1 และถัดลงมาก็คือเฟร็ตที่ 2, 3, 4 .... ไปเรื่อยๆ
ส่วนรูปด้านขวานี้ เป็นตัวอย่างของการจับคอร์ด C ซึ่งตัวเลขในลูกกลมๆ สีแดงก็คือนิ้วมือซ้ายนั้นเอง โดยรายละเอียดมีดังนี้
1 = นิ้วชี้ 2 = นิ้วกลาง 3 = นิ้วนาง 4 = นิ้วก้อย
ตัวเลขต่างๆ หล่าวนี้ที่จริงแล้วในตารางคอร์ดทั่วๆ ไปจะไม่มีกำกับไว้ ถ้าไม่มีแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจับคอร์ดได้ถูกต้องหรือผิด? คำตอบก็คือไม่มีใครถูกใครผิดหรอกครับ เพราะการจับนั้นไม่ตายตัว ใครถนัดแบบใหนก็จับแบบนั้น แต่บางทีการจับให้ถูกต้องนั้นก็สำคัญเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นการจับคอร์ด G จากรูปจะเห็นว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องใช้นิ้วก้อย (เลข 4) ในการจับเลย เพราะนิ้วชิ้วเรายังว่างอยู่นิ หลายคนโดยเฉพาะมือใหม่ๆ ก็เลยใช้นิ้วชี้กดแทนนิ้วกลาง ส่วนนิ้วกลางก็เอาไปกดที่นิ้วนาง และนิ้วนางที่นิ้วก้อย ทำให้เราไม่ต้องใช้นิ้วก้อยเลย (ผมก็เคยจับแบบนี้มาตั้งนาน) ซึ่งดูเหมือนจะง่ายกว่าแบบแรกเยอะ เพราะมือใหม่ส่วนใหญ่จะไม่สันทัดกับการใช้นิ้วก้อยซักเท่าไหร
แต่ถ้าคุณเริ่มที่จะเล่นกีต้าร์เป็นแล้ว และคุณลองเล่นเพลงจากหนังสือเพลง คุณก็จะเจอกับคอร์ด Gsus4 ซึ่งจะต้องเปลี่ยนจากคอร์ด G ไปจับ Gsus4 (มันมักจะมาด้วยกัน) ซึ่งคุณจำเป็นมากที่จะต้องใช้นิ้วชี้ แต่นิ้วชี้คุณกลับใช้ไปแล้วซะนี่...
สรุปเลยละกันน่ะครับว่า การจับคอร์ดนั้นไม่ตายตัวเสมอไป แต่การจับให้ถูกหรือเหมาะสมก็เป็นสิ่งที่ควรทำครับ
ภาพคอร์ดกีต้าร์
เทคนิคการตีกลอง
เทคนิค การตีกลอง
โดยทั่วไปกลองชุดประกอบด้วยกลองใหญ่ 1 ใบ กลองเล็ก 1 ใบ กลองทอมใหญ่หรือฟลอร์ทอม 1 ใบ กลองทอม ทอม 2 ใบ ฉาบใหญ่ 1 ใบ ฉาบเล็ก 1 ใบ และไฮแฮท 1คู่ ก่อนการบรรเลงต้องจัดกลองชุดให้ถูกต้องเสียก่อน เริ่มต้นจากกลองใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าผู้บรรเลง กลองเล็กตั้งอยู่ริมขอบกลองใหญ่ด้านซ้ายมือ กลองทอมใหญ่ หรือฟลอร์ทอมตั้งอยู่ริมขอบกลองใหญ่ด้านขวามือ กลองทอม ทอม สองใบตั้งอยู่บนกลองใหญ่ ทอมใบเล็กติดตั้งด้านซ้ายมือ ทอมใบที่ใหญ่กว่า ติดตั้งด้านขวามือ ส่วนฉาบใหญ่ตั้งอยู่ระหว่างกลองใหญ่กับทอมใหญ่ด้านขวามือ ฉาบเล็กตั้งอยู่ระหว่างกลองใหญ่กับกลองเล็กด้านซ้ายมือ และไฮแฮท อยู่ติดกับกลองเล็กด้านซ้ายมือ หลังจากจัดกลองชุดเรียบร้อยแล้ว ควรตรวจสภาพกลองทุกใบให้อยู่ในสภาพการที่ใช้การได้ดีโดยเฉพาะการปรับเสียงกลองใหญ่ ตรวจสอบแผ่นพลาสติกโดยการวางเท้าลงบนกระเดื่องแล้วกดปลายเท้าลง หูฟังเสียงกลองใหญ่ ลักษณะเสียงที่บ่งบอกว่าไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป จะมีเสียงทึบก้องกังวานพอประมาณ ถ้าเสียงทึบความก้องกังวานสั้นแสดงว่าตึงเกินไป แต่ถ้าเสียงไม่ทึบและมีความก้องกังวานมากแสดงว่าหย่อนเกิดไป ฉะนั้นควรปรับเสียงกลองใหญ่ให้พอดีไม่ตึงเกินไปหรือหย่อนมาก การปรับเสียงกลองเล็กต้องปลดเส้นลวดออกจากแผ่นพลาสติกก่อน นำไม้ตีกลองเล็กเคาะลงบนแผ่นพลาสติก เพื่อฟังเสียงกลองเล็ก วิธีการปรับเสียงกลองเล็กโดยการใช้ที่หมุนมีลักษณะกลมเป็นโพรงมีที่จับสำหรับหมุนกลองเล็กบางชนิดใช้ไขด้วยสกรู การปรับเสียงต้องนำวิธีการปรับเสียงกลองใหญ่มาใช้ คือ ปรับจุดที่หนึ่งใกล้ตัว แล้วย้ายไปปรับจุดที่สองซึ่งอยู่ตรงกันข้ามและจุดที่สามปรับด้านบนแล้วย้ายไปปรับจุดที่ 4 อยู่ตรงกันข้ามคือด้านล่าง เหมือนกับเข็มทิศปรับทิศเหนือแล้วย้ายลงใต้ ปรับทิศตะวันออกแล้วย้ายไปปรับทิศตะวันตก ดังนี้เรื่อยไปทุกจุด อย่าปรับทุกจุดตามลำดับเรียงกันเป็นวงรอบ เพราะจะทำให้ด้านแต่ละด้านไม่เท่ากัน เมื่อปรับจุดใดจุดหนึ่งและด้านตรงกันข้ามเรียบร้อยแล้ว ใช้ไม้ตีกลองเล็กเคาะลงบนแผ่นพลาสติกเพื่อฟังเสียง ถ้าเสียงสูงแสดงว่าตึง ถ้าเสียงต่ำแสดงว่าหย่อน ต้องปรับทั้งสองด้านใหม่ให้ระดับเสียงเท่ากันส่วนการปรับเสียงทอม และทอมใหญ่ ให้ใช้วิธีการปรับเสียงเหมือนกับกลองเล็ก ระดับเสียงกลองทอมทั้งสามใบมีระดับเสียงไม่เท่ากัน ควรตั้งระดับเสียงกลองทอม ด้านซ้ายมือให้เสียงสูง ทอมด้านขวามือเสียงกลาง และทอมใหญ่เสียงต่ำ ระดับเสียงกลองทอมสามใบ จะมีระดับเสียงต่อเนื่องกัน คือ สูง กลาง และต่ำ การปรับเสียงกลองอีกลักษณะหนึ่งที่นิยมโดยทั่วไป คือ การป้องกันเสียงก้องกังวานของหางเสียงกลองขณะบรรเลงจังหวะเร็วๆ ทำให้เสียงถี่กระชั้นของหางเสียงกลองที่ไม่ต้องการปะปนกันกับเสียงกลอง ทำให้ได้ยินเสียงกลองที่ต้องการไม่ถนัดชัดเจน ควรนำวัสดุที่มีน้ำหนักเบา เล่น สำลี นุ่น หรือเศษผ้าวางลงบนแผ่นพลาสติก แล้วใช้ผ้าขนาดหนึ่งฝ่ามือ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือใหญ่กว่าเล็กน้อยปิดทับบนวัสดุ นำกาวเทปหรือกระดาษกาว หรือวัสดุพันสายไฟปิดทับทั้งสี่ด้าน เสียงของหางกลองจะลดน้อยลงมาก สามารถบรรเลงจังหวะเร็วๆ ตามถนัดได้ตามความต้องการ โดยจะได้ยินเสียงกลองเป็นจังหวะๆ ตามตัวโน้ตอย่างชัดเจน บางครั้งผู้บรรเลงจะไม่นิยมปิดเศษผ้ากับแผ่นพลาสติก จะใช้วิธีถอดแผ่นพลาสติกออกแล้วนำเศษผ้าใส่ในกลองแล้วปิดแผ่นพลาสติก สามารถกระทำได้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ป้องกันหางเสียงกลอง การบรรเลงกลองชุด มีขั้นตอนดังนี้ 1. การนั่ง ผู้บรรเลงกลองชุดต้องนั่งบรรเลง เพื่อใช้เท้าทั้งสองข้างให้เป็นประโยชน์ ก่อนนั่งควรเลือกเก้าอี้สำหรับนั่งตีกลอง เมื่อนั่งแล้วรู้สึกสบายไม่เจ็บก้นเพราะเก้าอี้นั่งมีหลายชนิด บางชนิดสามารถปรับเลื่อนให้สูงขึ้น หรือต่ำลงได้ตามต้องการ การนั่งควรนั่งตามสบาย เท้าและหัวเข่าทั้งสองแยกออกจากกัน เพื่อให้กลองเล็กอยู่ระหว่างหัวเข่าทั้งสอง เท้าข้างขวาวางลงบนกระเดื่องกลองใหญ่ เท้าข้างซ้ายวางลงบนกระเดื่องไฮ-แฮท หลังต้องไม่งอโค้ง ควรตั้งให้ตรงอยู่เสมอ เพื่อให้อาการปวดหลังมีน้อยมาก หายใจสะดวกปลอดโปร่ง (ส่วนมากเมื่อบรรเลงไประยะหนึ่งหลังจะงอโค้งเป็นส่วนใหญ่) คอตั้งตรง ใบหน้าตั้งตรงไม่ก้มต่ำ สายตามองดูบทเพลงและเพื่อนร่วมบรรเลง เพราะผู้บรรเลงกลองชุดจะเป็นผู้ให้สัญญาณจังหวะ กรณีที่ไม่มีผู้อำนวยเพลง 2. การจับ การจับไม้ตีกลองชุด มีวิธีการเดียวกันกับการจับไม้ตีกลองเล็กทุกประการ ก่อนบรรเลงควรเลือกไม้ตีกลองชุดที่แข็งแรงไม่หักง่ายสองชุด ชุดที่หนึ่งต้องมีน้ำหนักเบาเพื่อบรรเลงจังหวะช้าจนถึงปานกลาง เพราะทำให้บรรเลงได้สะดวกคล่องแคล่ว โดยเฉพาะการรัว กลองเล็กหรือกลองทอม และการเดี่ยวกลอง ชุดที่สองต้องมีน้ำหนัก เพื่อบรรเลงเพลงประเภทเฮฟวี่ (Heavy) ฮาร์ด ร็อค(Hardrock) และดิสโก้(Disco) ฯลฯ เครื่องมืออีกชนิดหนึ่งสำหรับใช้บรรเลง กลองชุด ทำด้วยโลหะ ความยาว 14-15 นิ้วแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งทำด้วยโลหะ หรือพลาสติก หรือยาง หรือโลหะหุ้มพลาสติก หรือหุ้มยาง ส่วนที่สองทำด้วยโลหะเส้นเล็กๆ เหมือนเส้นลวดหลายเส้น ตอนปลายส่วนที่หนึ่งมีปุ่มสำหรับดึงเส้นลวดเก็บเข้าเครื่องมือชนิดนี้เรียกว่าแส้ หรือแปรงลวด (wire Brushes) วิธีจับแส้ให้จับอย่างเดียวกันกับการจับไม้ตีกลองเล็ก 3. การบรรเลง ก่อนการบรรเลงต้องตรวจสอบระยะกลองชุดและฉาบ ให้อยู่ในระยะพอเหมาะกับมือและเท้า เริ่มจากเท้าขวาโดยวางเท้าข้างขวาลงบนกระเดื่องให้หัวเข่าทำมุมฉากพอดี อย่าให้เกินมุมฉาก เพราะจะทำให้เมื่อยเร็วแล้วยังทำให้กลองใหญ่ถอยห่างออกไปได้ เท้าข้างซ้ายก็เช่นกัน วางเท้าลงบนกระเดื่องไฮ แฮท ให้หัวเข่าทำมุมฉาก ส่วนกลองเล็กตั้งอยู่ระหว่างหัวเข่าทั้งสอง มือขวาระยะให้พอดีกับฉาก อย่าตั้งฉากให้ไกลสุดมือ เพราะจะทำให้เมื่อยแขนโดยไม่จำเป็น ควรดึงฉาบเข้าหาตัวให้ระยะห่างประมาณช่วงแขนงอได้เพื่อสะดวกต่อการบรรเลง ข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่งคือ อย่าให้เบียดชิดติดกันมากนักเพราะจะทำให้การบรรเลงอาจจะผิดพลาดขึ้นได้ โดยไม้ตีกลองอาจจะกระทบกับฉาบหรือกลองทอม ฉะนั้นควรกะระยะให้พอดี ทดลองตีทุกๆเครื่องมือเสียก่อน แล้วจึงลงมือบรรเลง 4.วิธีการเหยียบกระเดื่องกลองใหญ่ ให้วางเท้าลงบนกระเดื่อง กดปลายเท้าลงบนกระเดื่องแล้วรีบ ยกปลายเท้าขึ้นโดยให้สันเท้าติดอยู่กับที่ กระเดื่องจะเด้งติดตามปลายเท้ามาโดยอัตโนมัติ วิธีนี้ใช้สำหรับการบรรเลงจังหวะธรรมดา ตั้งแต่จังหวะช้าๆ จนถึงจังหวะค่อนข้างเร็ว ส่วนจังหวะเร็วและต้องการเสียงกลองหนักแน่นให้ยกขาขึ้นแล้วใช้ปลายเท้ากดลงบนกระเดื่องโดยให้น้ำหนักอยู่ที่ปลายเท้า แล้วรีบยกขาขึ้นอย่างเร็ว ต้องการความเร็วขนาดไหน ก็ให้ชักเท้าขึ้นและกดปลายเท้าลงตามที่ต้องการ วิธีนี้ยังใช้สำหรับการรัวกลองใหญ่ได้อีกด้วย 5.วิธีการเหยียบกระเดื่องไฮ แฮท โดยวางเท้าลงบนกระเดื่องให้น้ำหนักอยู่ที่ปลายเท้า กดปลายเท้าลง ยังไม่ต้องรีบยกขึ้นเมื่อต้องการเสียงสั้น ถ้าต้องการเสียงยาวให้รีบยกปลายเท้าขึ้นทันที กรณีที่บทเพลงต้องการให้บรรเลงเสียงสั้นและยาวตามจังหวะเพลงให้ใช้ไม้กลองเล็กตีลงบนไฮ แฮทตามจังหวะ เท้าเหยียบลงบนกระเดื่องแล้วรีบยกขึ้นจะได้เสียงทั้งสั้นและยาวสลับกันไป 6.การเดี่ยวกลอง หรือโซโลกลอง ให้ยึดจังหวะกลองใหญ่เป็นจังหวะหลัก จังหวะไฮ-แฮทเป็นจังหวะรอง โดยใช้มือขวานำตามด้วยมือซ้าย เริ่มจากกลองเล็ก ทอม ทอม และฟลอร์ทอม วนเวียนตามลำดับ หรืออาจสลับกลับกันจากฟลอร์ทอมเป็นทอม ทอมและกลองเล็กลักษณะนี้ต้องมือซ้ายนำ เพื่อป้องกันมือทั้งสองข้างกระทบกัน | ||||
เบส
เบส
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
เบส สามารถหมายถึง
- bass (รูปคำนี้อ่านได้สองแบบคือ เบส และ แบส แต่สำหรับคำที่หมายถึงเสียงระดับต่ำอ่านเป็น เบส)
- เบส (เสียงร้อง) ระดับเสียงต่ำของนักร้องชาย
- ดับเบิลเบส เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย
- กีตาร์เบส เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งลักษณะผสมของ เบสและกีต้าร์
- base
- เบส (เคมี) ค่าความเป็นกรดและเบส
- เบส (กีฬา) ฐานหรือตำแหน่งบนสนามกีฬาของเบสบอล หรือ ซอฟต์บอล ที่เป็นจุดยืนของตัวรับ
- โอเพนออฟฟิศดอตอ็อก เบส โปรแกรมจัดการฐานข้อมูลในชุด
กีต้าร์
กีตาร์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้เพื่อความสะดวกในการศึกษาเพิ่มเติมของผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความ เนื่องจากคำดังกล่าวยังไม่มีบทความในภาษาไทย ป้ายนี้จะถูกนำออกเมื่อมีเนื้อหาพอสมควรแล้ว |
กีตาร์ (อังกฤษ: Guitar) เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง จัดเป็นพวกเครื่องสาย มักจะเล่นด้วยนิ้วมือซ้าย และดีดด้วยนิ้วมือขวาหรือใช้ปิ๊กดีดกีตาร์ เสียงของกีตาร์นั้นเกิดจากการสั่นสะเทือนของสาย ทำให้เกิดกำทอน (resonance) แก่ตัวกีตาร์และคอกีตาร์
กีตาร์นั้น มีทั้งแบบกีตาร์อะคูสติก และกีตาร์ไฟฟ้า บางตัวก็เป็นได้ทั้งสองอย่าง กีตาร์มีส่วนตัวเป็นกล่องกำทอน ซึ่งในกีตาร์อะคูสติกจะเจาะเป็นช่อง ส่วนกีตาร์ไฟฟ้ามักจะตัน และมีโพรงในส่วนคอกีตาร์ โดยทั่วไปแล้วส่วนหัวของกีตาร์จะยืดขึ้นไปจากคอ เพื่อใส่ลูกบิดหมุนสายสำหรับปรับเสียง
กีตาร์เป็นเครื่องดนตรีที่นิยมใช้แพร่หลาย[ต้องการอ้างอิง] และใช้กับดนตรีหลากหลายสไตล์ นับเป็นเครื่องดนตรีที่นิยมใช้บรรเลงเดี่ยวอย่างกว้างขวางที่พบเห็นมากที่สุดคือกีตาร์คลาสสิก และยังเป็นเครื่องดนตรีหลักในวงดนตรีประเภทบลูส์ และดนตรีร็อกอีกด้วย กีตาร์สามารถเล่นในยามว่าง หรือ เป็นงานอดิเรก ได้ดี
ปกติกีตาร์จะมี 6 สาย แต่แบบ 4- 7- 8- 10- 12- สายก็มีเช่นกัน ผู้ประดิษฐ์กีตาร์จะเรียกว่า luthier
เนื้อหา[ซ่อน] |
[แก้] ประวัติ
เครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายกีตาร์เป็นที่นิยมมากว่า 5,000 ปีเป็นอย่างต่ำ โดยเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเอเชียกลาง เรียกว่าซิตาร่า (Sitara) เครื่องดนตรีที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกีตาร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบมีอายุ 3,300 ปี เป็นหินสลักของกวีอาณาจักรโบราณฮิตไตต์
คำว่ากีตาร์มาจากภาษาสเปนคำว่า guitarra ซึ่งมาจากภาษากรีกอีกทีคือคำว่า Kithara kithara จากหลายแหล่งที่มาทำให้คำว่ากีตาร์น่าจะมีรากศัพท์มาจากภาษาตระกูลอินโดยูโรเปียน guit- คล้ายกับภาษาสันสกฤต ที่แปลว่า ดนตรี และ -tar หมายถึง คอร์ด หรือ สาย คำว่า qitara เป็นภาษาอาราบิก ใช้เรียก Lute lute ส่วนคำว่า guitarra เกิดขึ้นเมื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ถูกนำมาที่ Iberia (หรือ Iberian Peninsular เป็นคาบสมุทรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในทวีปยุโรป) โดย Moors
กีตาร์ในยุคปัจจุบัน มาจากเครื่องดนตรีที่เรียกว่า cithara ของชาวโรมัน ซึ่งนำเข้าไปแพร่หลายในอาณาจักรฮิสปาเนีย หรือสเปนโบราณ ประมาณ ค.ศ. 40 จากนั้นเปลี่ยนแปลงรูปแบบจนกลายมาเป็น เครื่องดนตรีที่มี 4 สายเรียกว่า อู๊ด (oud) นำเข้ามาโดยชาวมัวร์ในยุคที่เข้ามาครอบครองคาบสมุทรไอบีเรียน ในศตวรรษที่ 8 ส่วนในยุโรปมีเครื่องดนตรีที่เรียกว่า ลุต (lute) ของชาวสแกนดิเนเวียมี 6 สาย ในสมัย ค.ศ. 800 เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในกลุ่มชาว(ไวกิ้ง)
ค.ศ. 1200 กีตาร์ 4 สาย มี 2 ประเภท คือ กีตาร่า มอ ริสกา หรือกีตาร์ของชาวมัวร์ มีลักษณะกลม ตัวคอกว้าง มีหลายรู กับกีตาร่า ลาติน่า ซึ่งรูปร่างคล้ายกีตาร์ในปัจจุบัน คือมีรูเดียวและคอแคบ ในศตวรรษที่ 16 เครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์ของชาวสเปน ที่เรียกว่าวิฮูเอล่า เป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกีตาร์ในปัจจุบัน มีความผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีอู๊ดของชาวอาหรับและลูตของยุโรป แต่ได้รับความนิยมในช่วงสั้น ๆ พบเห็นจนถึงปี 1576
เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่มีรูปลักษณ์เหมือนกีตาร์ในปัจจุบัน เกิดในช่วงยุคปลายของสมัยกลางหรือยุคต้นสมัยเรอเนสซอง (500 กว่าปีที่แล้ว) เป็นช่วงที่มีการใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายกันทั่วโลก ในยุคนั้นกีตาร์มีทั้งแบบ 4 และ 5 สาย สำหรับกีตาร์ที่มี 6 สาย ระบุว่ามีขึ้นในปี 1779 เป็นผลงานของนายแกตาโน วินาซเซีย (Gaetano Vinaccia) ในเมืองเนเปิล อิตาลี แต่ก็ถกเถียงกันว่าอาจเป็นของปลอมสำหรับตระกูลวินาซเซียมีชื่อเสียงในการผลิตแมนโดลินมาก่อน
กีตาร์ไฟฟ้าตัวแรกเริ่มผลิตขึ้นในศตวรรษที่ 20 โดยจอร์จ โบแชมป์ (George Beauchamp) ได้รับสิทธิบัตรในปี 1936 และร่วมกับ ริกเค่นแบ็กเกอร์ (Rickenbacker) ตั้งบริษัท Electro String Instrument ผลิตกีตาร์ไฟฟ้าในช่วงปลายปีทศวรรษที่ 1930 ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1960 จอห์น เลนนอน สมาชิกวงเดอะบีทเทิลส์ใช้กีตาร์ยี่ห้อนี้ ส่งผลให้เครื่องดนตรียี่ห้อนี้มีชื่อเสียงในกลุ่มนักดนตรีในยุคนั้น และในปัจจุบันบริษัทริกเค่นแบ็กเกอร์ เป็นบริษัทผลิตกีตาร์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา[1]
[แก้] ประเภทของกีตาร์
[แก้] กีตาร์โปร่ง
- Renaissance guitars
- มีขนาดเล็กกว่ากีตาร์คลาสสิก และให้เสียงที่เบากว่ามาก
- Classical guitars
- กีตาร์คลาสสิก ถือเป็นต้นแบบกีตาร์ในยุคปัจจุบัน มีลูกบิดและแกนพันสายเป็นพลาสติก มีคอหรือฟิงเกอร์บอร์ดขนาดใหญ่ประมาณ 2 นิ้ว ลักษณะแบนราบ สายที่1 และ2 เป็นสายไนล่อน
- Portuguese guitar
- มี 12 สาย ใช้กับเพลงพื้นเพลงชื่อ Fado ในประเทศโปรตุเกส
- Flat-top (steel-string) guitars
- มีขนาดใหญ่กว่ากีตาร์คลาสสิก และเสริมความแข็งแรงที่คอ เพื่อรองรับแรงตึงของสาย ให้เสียงที่ใสและดังกว่า สายที่ใช้ สาย1และ2 มีลักษณะเป็นเส้นลวดเปลือย สายที่3-6 เป็นเส้นลวดและมีขดลวดเล็กๆพันเป็นเกลียวเพื่อเพิ่มขนาดของสาย
- Archtop guitars
- ด้านหน้าจะโค้ง โพรงเสียงไม่เป็นช่องกลม สะพานยึดสายด้านล่างมักเป็นแบบหางปลา นิยมใช้เล่นในดนตรีแจ๊ส
- Resonator
- หรือ Resophonic หรือ dobro คล้ายกับกีตาร์ Flat-top
- 12 string guitars
- นิยมใช้ใน folk music, blues และ rock and roll มีสายโลหะ 12 สาย
- Russian guitars
- มี 7 สาย พบในรัสเซีย และ บางประเทศที่แยกจากสหภาพโซเวียตเท่านั้น
- Acoustic bass guitars
- เป็นกีตาร์เบสในรูปแบบอคูสติก มีสายและเสียงเหมือนกัน โน้ตที่เล่นจะใช้ "กุญแจฟา" ให้เสียงทุ้มต่ำ นุ่มนวล
- Tenor guitars
- มี 4 สาย
- Harp guitars
- จะมีสาย harp เพิ่มขึ้นมา จากปกติที่มี 6 สาย สาย harp จะให้เสียงต่ำหรือเสียงในช่วงเบส ปกติจะไม่มีฟิงเกอร์บอร์ดหรือเฟร็ต
- Guitar battente
- มีขนาดเล็กกว่ากีตาร์คลาสสิก นิยมใช้เล่นกับเครื่องสายอีก 4-5
- Ukulele Guitar
- เป็นกีตาร์ ขนาดเล็ก มี 4 สายในปัจจุบันผู้หญิงนิยมเล่น
[แก้] กีตาร์ไฟฟ้า
แบ่งตามโครงสร้างของลำตัวกีต้าร์ (Body) อาจแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ- กีต้าร์ตัวตัน (Solid Body)
- หมายถึง กีต้าร์ไฟฟ้าปกติที่ลำตัวมีลักษณะตัน ไม่มีการเจาะช่องในลำตัวกีต้าร์เหมือนอย่างกีตาร์โปร่ง หรือ อะคูสติกกีตาร์ แต่บริเวณลำตัวจะมีตัวรับสัญญาณแรงสั่นสะเทือนของสายกีต้าร์ (Pick Up) ขณะที่ดีด เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องขยายเสียง (Amplifier) ต่อไป โดยทั่วไป ตัวรับสัญญาณจะมี 2 ประเภท คือ ตัวรับสัญญาณแบบแถวเดี่ยวที่เรียกว่า Single Coil และแบบแถวคู่ที่เรียกว่า Humbucker
- กีต้าร์ลำตัวกึ่งโปร่ง (Semi-Hallow Body)
- เป็นกีต้าร์ไฟฟ้าที่มีลักษณะโครงสร้างส่วนกลางของลำตัวในแนวเดียวกับคอกีต้าร์ มีลักษณะตัน (แต่มีการเจาะช่องเพื่อใส่ตัวรับสัญญาณแรงสั่นสะเทือนของสายกีต้าร์ (Pick Up) เช่นเดียวกับกีต้าร์ตัวตัน) บริเวณส่วนข้างของกีต้าร์มีการเจาะช่อง (Sound Hole) เอาไว้เพื่อให้เกิดการกำทอนของเสียงมากกว่ากีต้าร์ตัวตัน ซึ่งจะให้เสียงที่เป็นอคูสติกมากขึ้น นิยมใช้ในดนตรีแจ๊สหรือบลูส์ เป็นกีต้าร์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อลดเสียงรบกวนที่เรียกว่าFeed back ซึ่งเกิดจากกีต้าร์ไฟฟ้าลำตัวโปร่ง (กล่าวคือ ยังมีเสียงรบกวนบ้างแต่น้อยลงกว่าเดิม)
- กีต้าร์ลำตัวโปร่ง (Hallow Body)
- กีต้าร์ไฟฟ้าที่มีการเจาะช่องเอาไว้เพื่อให้เกิดการกำทอนของเสียง (Sound Hole) เช่นเดียวกับกีต้าร์โปร่งหรืออคูสติก และกีต้าร์ลำตัวกึ่งโปร่ง ปกติช่องดังกล่าวมักจะอยู่ด้านข้างของลำตัวกีต้าร์ เนื่องจากบริเวณกลางลำตัวจะมีการใส่ตัวรับสัญญาณแรงสั่นสะเทือนของสายกีต้าร์ (Pick Up) เช่นเดียวกันกับกีต้าร์ตัวตัน ซึ่งผลของการที่มีช่องกำทอนเสียง ทำให้ลักษณะของเนื้อเสียงที่ได้เป็นอคูสติกมากกว่า กีต้าร์ Semi-Hallow Body แต่หากขยายเสียงให้ดังมากจะก่อให้เกิดเสียงรบกวนที่เรียกว่า Feed back กีต้าร์ประเภทนี้มักจะนิยมใช้กับดนตรีแจ๊สหรือบลูส์เป็นส่วนใหญ่
[แก้] ส่วนประกอบของ อะคูสติคกีตาร์
- ไม้ข้าง และไม้หลัง หรือ back & side ของ acoustic guitar
- เมื่อเทียบกับประเภทของไม้ที่ถูกนำมาใช้ด้านหน้าของกีต้าร์แล้ว ไม้ที่ถูกนำมาใช้เป็นแผ่นหลังและข้างนั้น มีมากมายหลายชนิดกว่า อาจแบ่งออกกว้างๆ เป็นตระกูล Rosewood, Walnut, Maple, Koa, Mahogany รวมไปถึงไม้แปลกๆ ใหม่ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยม และพวกที่ยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก เพื่อความสะดวกและเข้าใจได้ง่าย ผู้เขียนจะแบ่งประเภทของไม้ออกเป็นจำพวกคร่าว ๆ ดังนี้
- Rosewood
- Mahogany
- Koa
- Maple
- Walnut
- Ziricote (Cordia Dodecandra)
- Macassar Ebony (Diospyrus Celebica)
- Myrtewood
- African Blackwood
- African Paduk
- Imbuia
- Cherry
- ไม้หน้า หรือ Top ของ Acoustic Guitar
- Sitka Spruce
- Englemann Spruce
- Red Spruce
- German Spruce
- Alpine Spruce
- Cedar
- Port Orford Cedar
- Redwood
- Western Larch
กลองชุด
เครื่องดนตรีในกลองชุด ประกอบด้วย
- กลองเล็ก หรือ สะแนร์ดรัม (Snare drum) ประกอบด้วยแผงลวดขึงรัดผ่านผิวหน้ากลองด้านล่าง เพื่อให้เกิดเสียงกรอบ ๆ ดังแต๊ก ๆ ตัวกลองทำด้วยไม้ห
กลองชุด
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหาบทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาบทความนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก
ส่วนประกอบรือโลหะ และสามารถรัดให้หนังตึงด้วยขอบไม้ด้านบนและล่าง สามารถปลดสายสะแนร์เพื่อให้เกิดเสียงทุ้มดังตุ้มตุ้มได้ และตีกลองเล็กด้วยไม้ นิยมใช้กลองชนิดนี้ทั้งในวงดุริยางค์และวงดนตรี
- กลองทอม (Tom-tom drum) หรือ เทเนอร์ดรัม (Tenor drum) มีขนาดใหญ่กว่าสะแนร์ดรัม เป็นกลองชนิดที่สร้างขึ้นโดยไม่ใช้สายสะแนร์ โดยทั่วไปบรรเลงในหมวดกลอง ใช้ไม้ชนิดหัวไม้หุ้มสักหลาด
- กลองใหญ่ หรือ กลองเบส (Bass drum) เป็นกลองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยตัวกลองที่ทำด้วยไม้และมีหนังกลองทั้งสองด้าน เสียงที่เกิดจากการตีกลองใหญ่จะไม่ตรงกับระดับเสียงที่กำหนดไว้ทางตัวโน้ต ตีด้วยไม้ที่มีสักหลาดหุ้ม ชนิดที่มีหัวที่ปลายทั้งสองข้าง ใช้เพื่อทำเสียงรัว
- กลองทิมปานี (หรือกลองเค็ทเทิ้ลดรัม) เป็นกลองที่มีลักษณะเป็นหม้อกระทะ ซื่งมีหน้าหนังกลองหุ้มทับอยู่ด้านบน เป็นกลองชนิดเดียวที่ขึ้นเสียงแล้วได้ระดับเสียงที่แน่นอน เมี่อคลายหรือขันหน้ากลองโดยใม่ว่าจะใช้วิธีขันสกรูหรือเหยียบเพดดัล (ที่เหยียบ) ก็ไดั ไม้ที่ใช้ตีมีการหุ้มนวมตรงหัวไม้ตี ตีได้ทั้งเป็นจังหวะและรัว
- ฉาบ หรือ เชมเบล (Cymbal) มีอยู่2ชนิดคือฉาบที่ใช้กับกลองชุดและฉาบที่ใช้เดิน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)